ประวัติหลวงพ่อปาน
( พระครูวิหารกิจจานุการ ) วัดบางนมโค

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30

***เมื่อข้าพเจ้าตาย***

วันนี้ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ เห็นว่าร่างกายพอมีแรงบ้าง หลังจากที่มันทำท่าจะพังมาประมาณ ๔ เดือนเศษ เมื่อมันกลับฟื้นคืนสภาพมาเกือบจะปกติ เวลาพอมีว่าง เพราะตัดสินใจว่า นับแต่นี้ไปจะทำตนเป็นคนที่ไม่มีพันธะผูกพัน หมดหนี้จากงานก่อสร้าง หมดหนี้จากกิเลสตัณหา คือตัดความทะเยอทะยานใด ๆ ทั้งสิ้น ตั้งท่ารอความตายที่แท้จริงจะมาถึง วางภาระเสียทั้งหมด เวลาจะตายจะได้ตายอย่างคนไม่มีห่วง งานที่จะทำต่อไป และทำจนสิ้นลมปราณก็คือรักษาสมณธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ด้วยชีวิต แนะนำศิษย์ด้วยธรรมชั้นสูง งานนี้แม้ไม่มีใครจ้างก็ทำ จะทำตนเป็นคนมีงานอย่างเดียว งานประเภทอื่นถ้าจะพึงมี เช่น งานก่อสร้าง ก็จะทำประเภทถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ใครให้ทุนก็ทำ หรือชอบใจก็ทำ ไม่ชอบใจไม่ทำ เพราะงานอดิเรกอย่างนี้ ทำมาหลายสิบล้านบาท เป็นผลสำหรับกามาวจรสวรรค์ งานประเภทนี้มีมากเพียงพอ หรือเกินพอแล้ว งานด้านที่สูงกว่านั้นนิดหนึ่ง คืองานด้านสังคมสงเคราะห์ ส่วนวัสดุก็ให้มาแล้ว มีจำนวนเงินนับล้าน งานด้านศีลธรรมก็ทำเอง และสงเคราะห์มาเกินความจำเป็น งานด้านรักษาอารมณ์ ก็ทำมาแล้วเกิน ๓๐ ปี เห็นว่างานทุกประเภทที่พระสงฆ์ชั้นสวะอย่างผู้เขียนจะพึงทำ ทำมาพอแล้ว ดูเหมือนจะเกินไปเสียด้วย เมื่อรู้ตัวว่าพอก็จะเลิกสนใจ งานประเภทใดที่ล่วงสมณธรรม จะตัดให้หมด คนเลวจะเลิกสังคม เมื่อจะตายจะมัวอาลัยกับคนและสัตว์ ตลอดจนสิ่งไม่มีชีวิต ความหลงว่าอะไร ๆ เป็นของเรา เป็นความฉลาดของคนที่คิดว่าตนจะไม่ตาย สำหรับคนที่รู้ตัวว่าตนเองจะตาย จะมีอะไรเหลือไว้อีกสำหรับทรัพย์สิน ตัดใจแล้ว ตายเมื่อไรก็สบายใจ หมดทุกข์ หมดกังวล

---เขียนเรื่องตัวเอง---

หนังสือนี้ไม่ใช่ตำรา สำนวนที่เขียนก็ไม่ได้อิงสำนวนตำรา เป็นหนังสือคุยกับเด็ก การพูดกับเด็ก พูดภาษาตำราเด็กฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อท่านอ่านแล้ว จงอย่าเอาไปเป็นตำรา เพราะเป็นมุมหนึ่งของชีวิตเมื่อตายเท่านั้น การตายของแต่ละคน จะเอาสิ่งที่ตนพบเห็นหรือได้มาจะให้เหมือนกันทุกคนไม่ได้ ด้วยสิ่งที่พบเห็นหรือได้มา จะได้หรือจะพบตามกำลังความดีที่ตนทำไว้ ในส่วนกามาวจรสวรรค์ คือ สวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่ จาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี รวม ๖ ชั้น เป็นที่อยู่ของอากาศเทวดา หรือพรหมอีก ๒๐ ชั้น หรือที่ต่ำลงมา ได้แก่ ภูมิเทวดาหรือรุกขเทวดา หรืออบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ท่านที่ตายแล้วไปพบ จะพบแต่ภูมิที่ตนมีส่วนความดีหรือความชั่วเข้าถึงเท่านั้น ส่วนอื่นที่มิใช่วิสัยของตนที่จะเข้าถึง จะพบไม่ได้ และแต่ละภูมิ แต่ละชั้น มีความเป็นอยู่ ความสุข กิจการงานปฏิบัติ ก็ไม่เหมือนกันเสมอไป เว้นไว้แต่พระนิพพานที่ใคร ๆ ก็มีสภาวะเหมือนกัน จงอย่าเอาเรื่องในหนังสือนี้ไปเถียงกับคนอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกับหนังสือนี้ ด้วยความไม่ประสงค์ให้เป็นตำรา เพียงเล่าเรื่องที่เคยตาย และสิ่งที่พบมาของมนุษย์ชั้นเลวคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าท่านยึดเอาเป็นตำรา ก็จะกลายเป็นสร้างระบบศาสนาขึ้นแข่งกับพระพุทธเจ้า ด้วยความรู้ทั่วไปทุกภพ พระพุทธเจ้าท่านรู้จริง รู้ตรง และกล่าวสอนไว้ครบแล้ว เอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจึงถูก อย่าเอาของหลวงตาเลว ๆ องค์หนึ่งที่มีความดีไม่เท่าหนึ่งในหลายพันล้านของพระพุทธเจ้าไปเป็นสรณะเลย จะกลายเป็นสหายของท่านเทวทัตไป

เรื่องที่เขียนนี้ เป็นการเขียนแก้ว่าง และเล่าเรื่องของตนเองก่อนสิ้นลมปราณ เห็นว่า จะดีกว่าคนอื่นเขียนเมื่อสิ้นลมปราณแล้ว เพราะคนอื่นที่เขียน เขาก็จะเลือกเขียนแต่ที่ตอนดี ตอนใดเลวไม่เขียน เขาไม่กล้าเขียน ถ้าขืนเขียนชาวบ้านชาวเมืองก็จะหาว่ากลั่นแกล้งคนตาย เมื่อไม่เขียน เปรตก็จะกลายเป็นเทวดาไปหมด เห็นว่าไม่ถูก ความดีความชั่ว ใครจะรู้เรื่องของใครแน่นอน เมื่อเห็นว่าเขียนเองดีกว่า เขียนได้สบาย จะด่าจะประจานตนเองอย่างไรก็ได้ชาวบ้านไม่เกี่ยว และเขียนได้ละเอียดดีกว่าคนไม่รู้ความจริงเขียน แม้แต่เจ้าของเรื่องเขียนเรื่องของตนเอง ก็เขียนให้ครบไม่ได้ ด้วยจำไม่ได้ทั้งหมด แล้วใครที่ไหนเล่าจะมานั่งบรรยายเรื่องของคนที่ตายไปแล้วให้ครบถ้วน เรื่องของเรื่องก็เป็นอันว่า คนที่เขียนแทนเมื่อตายแล้วเป็นนักยกเมฆเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เลือกยกเอาแต่ตอนที่ดีหรือเห็นว่าดี เมื่อพูดกันตามประสาชาวบ้าน ก็ต้องพูดว่าเขียนโกหกกันไม่น้อยกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ สู้เขียนเองไม่ได้ การเขียนเริ่มวันนี้ มันจะจบเมื่อไรก็ช่างมัน มีแรงก็เขียน ไม่มีแรงก็นอน จะจบก่อนตายหรือตายก่อนจบก็ตามใจ

---ตายครั้งที่ ๑---

เรื่องตายนี้ ตายมาหลายครั้ง ไม่ใช่ลองตายหรืออยากตาย มันตายเอง ตายแล้วก็กลับฟื้น การตายทุกครั้งตายด้วยโรคทางเดินอาหารไม่ดี โรคท้องผุ หรือกระเพาะลำไส้ผุ มาพูดเรื่องตายเลยดีกว่า ประวัติดั้งเดิมการเขียน เขียนไปมันก็ไม่พ้นเรื่องของคนตาย จะเป็นเทวดาระดับไหนก็ตาย ลงมาเกิดเดินดินกินข้าว หรือกินขนมปัง กินถั่ว กินงาอะไรก็ตาม มันก็เจ๊งกันตอนตายเหมือนกันหมด อย่าเอาเลวมาเขียนให้เป็นดีเลย ถ้าดีจริงแล้ว ไม่มีใครมาเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หรือเข้านิพพานสบายกว่าแยะ เมื่อเกิดมาเพื่อแก่เจ็บตายเหมือนกันก็ยังจะมาเขียนประวัติโกหกชาวบ้าน ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ จะเอาประโยชน์ตรงไหน โกหกเท่าไร ถ้าเราทำเลวมันก็ไม่ดีขึ้นมาได้ แต่ถ้าเราทำดี ใครจะประณามอย่างไร มันก็ไม่เลว เลิกโกหกกันดีกว่า หรือใครจะโกหกต่อไปก็ตามใจ ไม่ขัดคอใคร

การตายครั้งที่ ๑ เป็นการตายเมื่อวัยเด็ก อายุ ๑๒ ปี เคยบอกกับใครต่อใครว่าอายุ ๑๗ ปีมาก่อน นั่นเป็นเรื่องของคนที่จำประวัติตนเองไม่ได้ เมื่อเขียนนี้ ท่านแม่มาบอกจึงทราบชัดว่าการตายครั้งแรกไม่ใช่อายุ ๑๗ ปี ตายเมื่ออายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงู ก่อนตายตอนป่วยก่อนวันตาย ๑ วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งพล่ามากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จ ก็เข้าวงเหล้ากับเขา แต่ทว่าไม่ได้กินเหล้า ชอบกินหอยโข่งพล่า เนื้อมันอร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกไปวิ่งเล่น มันไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าขณะนั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยอหิวาต์กันเกลื่อน พระพบคนตายเป็นปกติประจำวัน ด้วยเมื่ออหิวาต์เกิด หมอมีกำลังอ่อนกว่าโรค โรคก็เลยครองเมือง ชอบใจคนไหนก็ยึดคนนั้นได้ตามใจชอบ กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่กันไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด หนุ่มสาวที่เคยหิวรัก ปกติตอนเย็นเมื่อว่างงานเห็นเดินไปมาหาสู่กันตามปกติ แต่ตอนที่เทวดาอหิวาต์มาและคนตายมาก ๆ เข้า หาหนุ่มสาวหิวรักเดินไม่ได้เลย กลางคืนเงียบและรู้สึกเยือกเย็นอย่างไรชอบกล สุนัขหอนตั้งแต่ตอนค่ำเกือบตลอดแจ้ง คนในบ้านใกล้เคียง ต่างเกรงความตายทั่วกัน

ตอนนั้นพระชักจะมีราคา ที่ว่านี้ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นพระพุทธเจ้าต่างหากที่ว่ามีราคา ไม่มีใครไปหาซื้อ แต่ทว่ามีคนสนใจบูชากันมาก ด้วยมองเห็นความตายใกล้เข้าปลายจมูกเข้าทุกที ทุกบ้านพากันบูชาพระ ที่บูชานั้นไม่ใช่เคารพในคุณพระพุทธ พระธรรม ตามที่ได้ยินเสียง บางคนบ่นบูชาออกเสียงดังได้ยินว่า เจ้าประคู้ณ กรุณาปัดเป่าโรคร้ายนี้ให้ออกไปพ้นบ้านพ้นเมือง แล้วแกก็ออกชื่อคนในบ้าน เมื่อประกาศชื่อเสร็จก็ลงท้ายว่า ขอพระโปรดป้องกัน อย่าให้คนที่ออกชื่อนี้ตายเพราะโรคนี้เลย เป็นอันว่าจุดธูปนั้นไม่ใช่บูชาความดี เป็นการจุดธูปเรียกพระพุทธเจ้ามาใช้ให้เป็นยามป้องกันโรคร้าย หรือใช้ให้พระพุทธเจ้าไปขับโรค ยามปกติแกก็ไม่บูชา เรื่องของคนที่จะเห็นคนอื่นดีก็ตอนที่ตนมีทุกข์ พอมีสุขเข้าก็มักจะลืมกัน นี่ว่ากันถึงคนเลว คนอกตัญญูไม่รู้จักคุณคน ส่วนคนที่ดีนั้น มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ คนประเภทนี้เป็นพ่อคนแม่คนทั้งโลกหายากมาก มีน้อยกว่าคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน ด้วยคนที่มีพรหมวิหาร ๔ เป็นคนมีบารมีสูงประสงค์นิพพานชาตินี้ก็มีหวังไปได้ไม่ยากเลย

---ความตายปรากฎ---

เมื่อวันรุ่งขึ้น ตอนเช้าเวลาประมาณ ๙ น. ก็เริ่มปวดท้อง แล้วท้องก็ถ่าย มันถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัดเป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้ และใช้ให้คนรีบไปตามลุงที่เป็นหมอ ด้วยลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ เวลาประมาณ ๘.๕๐ น. ดูนาฬิกาที่บ้านเห็นเกือบ ๙ น. มีอาการเพลียมาก แรงไม่มี ท้องก็ปวดมาก ภายในมีความร้อน ความปวดของท้องปวดมาถึงผิวหนัง ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้ จะขมวดหรือรัดเข็มขัดทำไม่ได้ด้วยมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้ เมื่อท่านลุงมาถึง ท่านก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านให้กินยาแล้ว ท่านแม่ก็หยิบพระพุทธองค์ที่ฉันรักมากที่สุดมาวางไว้ทางขวามือ พอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมาก เห็นจะเป็นธูปแขก มันหอมชื่นใจจริง ๆ เมื่อท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จ ท่านก็บอกว่า ลูกภาวนาว่าพุทโธนะลูก ภาวนาไว้ จำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาจงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็ว ๆ และจะไม่เจ็บท้อง

เรื่องภาวนาพุทโธนี้ ท่านแม่สอนและบังคับเป็นปกติ เมื่อยามปกติท่านจะบังคับให้บูชาพระก่อนนอน ให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วก็ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ แล้วให้ภาวนาว่า พุทโธ ๓ ครั้ง ต้องว่าให้ท่านได้ยินจึงจะนอนได้ เมื่อเด็ก ๆ ฉันกลัวผี ท่านแม่บอกว่า พระพุทโธผีกลัว เมื่อกลัวผีจงภาวนาว่าพุทโธ ผีจะไม่หลอก เมื่อกลัวผีเมื่อไรฉันก็ภาวนาพุทโธเสมอ ไม่ใช่ภาวนาเอาบุญ ฉันภาวนากันผีหลอก จะเป็นบุญบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มาตอนนี้ท่านให้ภาวนาว่าพุทโธ เป็นการภาวนารักษาโรค และภาวนากันตายด้วย ถ้าโรคหาย มันก็ต้องไม่ตาย เมื่อท่านแม่สั่ง ฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานฉันเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่าม หน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจ เมื่อหลับตา ฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการทางท้องที่ปวดรู้สึกคลายลง พร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระเลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไปประมาณ ๙ น. เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่าง ๆ สายตามันเห็นสั้นเข้าทุกที ชั่วเวลา ๒-๓ นาที มันก็เกิดมองอะไรไม่เห็นเลย แต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือ ฉันมองไม่เห็นพระ

ฉันรู้สึกเสียใจที่ฉันไม่สามารถมองเห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตาเสีย ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี แต่ฉันห่วงพระ เสียดายภาพพระพุทธเจ้าที่ฉันรัก ฉันเลยคิดเอาว่า เมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่าพุทโธ พระท่านจะไปหาทันที ไปในร่างทิพย์ ฉันคิดได้ ฉันเลยภาวนาเรียกพระ ใจฉันอยากเห็นท่าน ขอให้ท่านมาหาฉัน พอภาวนาได้สัก ๓ รอบ ปรากฎว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธ เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมด ไม่เหลื่อมเหมือนของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อย ๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็มไม่มีส่วนพร่อง ท่านเห็นฉัน ท่านยิ้มน้อย ๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันจะชอบคนยิ้ม ฉันเองฉันก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับ ฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ใคร่ดี แต่เป็นเรื่องของคนมีกิเลส ว่ากันตามอารมณ์ปกติของคนมีกิเลส ท่านผู้อ่านอย่าเอาไปปฏิบัติตาม มันเป็นกรรมที่เป็นอกุศล จะเอาก็เลือกเอาแต่ตอนที่ดี มาพูดกันถึงภาพพระต่อไป ฉันรักท่านมาก ท่านสวยและสวยขึ้นเป็นลำดับ

ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัว มี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลด แต่สวยมากกว่าจนเทียบกันไม่ได้ ตัวท่านเองแทนที่จะเป็นสีเหลือง กลับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฎว่า ตัวฉันกลายเป็นคน ๒ คน คือ คนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีทอง มีแก้วประดับผ้าหมดทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับ แลเป็นสีทองทั้งตัว บนหัวมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฎามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก ดูตัวที่นอน ฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉัน แต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลย มันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระ ท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบาย ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึกอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้าน ด้วยที่นั่นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้านปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปไหว้ท่าน ลาท่านไปหลังบ้าน ท่านไม่ยอมพูดด้วย ท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน ไปหาใครก็ไม่มีใครเขาสนใจ เมื่อไม่มีใครสนใจก็เลยถือเอาโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดบ้านแล้วเลี้ยวออกไปยืนข้างทางผ่านหลังบ้าน รู้สึกสบายใจมาก ขณะที่ยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านที่สนใจกับเจ้าคนที่นอนอยู่นั้นร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม เห็นเขาร้องไห้แต่เมื่อมีญาติตายหรือเสียของรัก นี่ไม่มีใครตายสักคน เขาร้องไห้ทำไม คิดแล้วก็ไม่สนใจ มายืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่ง ไม่ถึง ๑๐ นาทีกะเวลาโดยประมาณ เห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด ฉันคอยอยู่ข้างทาง คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน

เมื่อพวกเขามาใกล้ เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คน นุ่งผ้าเขียวเหมือนกัน ตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตาม หัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันก็เลยทำตัวใหญ่มั่ง ใหญ่และสูงเท่าเขา ชาย ๔ คน ๆ หนึ่งเดินนำหน้า มีสมุดข่อยในมือ สองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้ายแสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มาหาฉัน ฉันเข้าไปยกมือไหว้เขา ถามเขาว่าลุงจะไปไหนกันครับ เขามองหน้าฉัน แล้วเขาก็เปิดสมุดข่อย เขาบอกว่าหนู ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลาน เดี๋ยวแม่จะบ่นหา แล้วเขาก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน เขากลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจ คิดว่าตาลุงนี่ท่าจะอย่างไรเสียแล้ว ถามว่าไปไหน ดันเปิดบัญชีแล้วบอกว่าไม่มีชื่อในบัญชี เรื่องอะไรที่แกจะมาบังคับเรา ต้องถามเอาความให้ได้ จึงเดินตามแกออกไป เห็นคนที่ผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคน ทราบว่าเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอถึงคนที่ขนาบข้างและคนท้ายถามเขาอย่างนั้น เขาทำอย่างเดียวกันก็เลยสงสัยใหญ่ คิดว่าตาเฒ่าหัวงูพวกนี้มันบ้าหรือดี เรีาถามอย่างหนึ่งแต่ทำอย่างหนึ่ง ดีละ พวกแกปกปิดฉัน ฉันก็มีมือมีเท้า ฉันจะต้องรู้ว่าพวกแกเดินขบวนไปทางไหนกัน เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร ก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ มีทางเล็ก ๆ เดินลดเลี้ยวคดเคี้ยวไปตามทาง แล้วมีเขาต่ำ ๆ ขวางทางเป็นระยะ ๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก

ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมาก มันยาวเพียงใดไม่ทราบ ด้วยมันยาวมากสูงมากเสียอีกด้วย หัวหน้าเขาขึ้นไป เมื่อถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไป ทั้ง ๔ คนรู้สึกว่ามีอาการตกใจมาก แกถามว่าพ่อหนูมาทำไม ก็ได้บอกแกว่า เมื่อผมถามลุงว่าลุงไปไหน ลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย แล้วถามแกว่าพวกนั้นเขาไปไหนกัน แกฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมาก แกพากันบอกว่า ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก จะว่าเลวก็ไม่เชิงนะ คนที่ลงนรกมีเกียรติขนาดเทวดามารับ มันไม่เลวจริง ๆ ใครอยากไปบ้างก็เชิญตามสบาย แต่ลูกแกะไม่ขอร่วมทางไปด้วย ถามแกว่าคนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร แกบอกว่าคนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรม ขาดความเมตตาปรานี เมื่อทำชั่วอีกเขาก็นำมาลงโทษอีก ว่าแล้วแกก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาลงไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินตามที่คิดหรือพูดกัน มีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามแกลงไปเห็นผืนดินใหญ่ ใหญ่โตกว้างขวาง ยังมีที่ว่างมาก ใครจะไปปลูกบ้านที่นั่นก็ได้ถ้าหากหาซื้อที่ยาก ที่นั่นเขาแจกฟรี คนไม่อยากไปเขายังมารับลงไปเลย แสดงว่ามีมากกว่าความต้องการของคน หรือว่านักจัดสรรที่จะไปจับจองจัดสรรบ้างก็จะดีเหมือนกัน

มองลงไปเห็นที่ทั้งที่ มีอาคาร ๓ หลัง มีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายจากที่มองลงไปยืนอยู่หลายพันคน มีคนตัวโต ๆ อย่างพวกตาลุงเยอะแยะยืนถือหอกหน้าถมึงทึง แสดงว่าควบคุมพวกนั้นอยู่มากมาย อาคารในจำนวน ๓ หลัง ๆ กลางและลึกเข้าไปเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย คนเข้ามีพวกตาตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม มีพวกที่สวนออกมามีพวกตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม นิพพานไม่มีพระอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง เมื่อเห็นคนเข้าคนออกก็นึกสงสัยว่าพวกนี้เขาเข้าออกอาคารหลังนั้นเพื่ออะไร จึงถามตาลุงหัวหน้าหมู่ว่า ลุงครับ พวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน พอถามเท่านี้ตาลุงหัวหน้าหมู่แกแสดงท่าทางเป็นคนรู้ขึ้นมาทันที แกบอกว่าเมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก แกชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่มีจำนวนหลายพันคน แกบอกว่าทุกคนที่ยืนคอยอยู่นั้นเขาคอยการตัดสินของพญายมราช พวกที่เข้าไปเขาถูกพญายมฯ ชำระคดีแล้ว นายนิรยบาลแปลว่า ผู้รักษากฎหมายเมืองนรก ก็นำไปลงโทษตามโทษานุโทษที่พวกเขาทำไว้

พูดแล้วแกก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก แกบอกให้มองตามมือแกชี้ เมื่อมองตามไป เห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกล ไม่รู้ว่าที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน แกบอกว่า ตรงนั้นแหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษสัตว์คนที่ทำชั่ว ลมปราณสิ้นแล้ว เขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามแกว่าเขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง แกบอกว่าที่ต้องโทษเหมือนกันหมดคือ ถูกเผาไฟเหมือนกัน แต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตายต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ เมื่อแกบรรยายความตามเรื่องของแกแล้วก็ออกปากขออนุญาตลงไปดู พวกแกทุกคนต่างแสดงอาการเดือดร้อนมาก ร้องออกมาพร้อมกันว่า ไม่ได้ หลานชาย อย่าลงไป ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง ๔ คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก

ถามว่าเพราะอะไรลุงจึงจะถูกลงโทษ และใครเป็นคนลงโทษลุง แกบอกว่า เพราะกฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนที่จะตาย (ออกจากร่าง) ก่อนที่จะตาย ถ้าภาวนา พุทโธ หรือ อรหัง คนประเภทนี้ ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก พญายมฯ จะลงโทษลุงทั้ง ๔ อย่างหนัก ก็บอกแกว่า เมื่อลุงไม่ได้จับผมไป ผมไปเองลุงจะถูกลงโทษอย่างไร มันไม่ใช่ความผิดของลุง แกตอบว่า ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงพาคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร ไม่เนื่องด้วยลุง พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป พวกแก ๔ คนพากันยืนเกาะแขนกันกั้นไม่ให้ลง นึกขำในใจคิดว่าเทวดานี้ทำเหมือนเด็ก ๆ เมื่อออกปากอยากดูการลงโทษ แกบอกว่าได้ แกถามว่าอยากดูนรกขุมไหน ถามแกว่านรกมีกี่ขุม แกตอบว่าขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม บอกแกว่าอยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร แกชี้มือบอกว่านรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้ พอแกชี้ก็เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนอยู่ในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้ อาวุธก็ประหาร ตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓ - ๔ เล่มแทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันที ไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ

ชมพอเห็นพอที่จะคุยกับนักปราชญ์ประเภทดีแต่สอนชาวบ้านได้นิดหน่อย ตาหัวหน้าหมู่ก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว ทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้ว หลานต้องรีบกลับ แกบอกใกลับก็เกิดจำทางเดิมไม่ได้ ตาลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง แกคงโมโหที่ทำให้แกลำบาก แกจับขา ๒ ขาเอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าแก แกพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงหน้าบ้าน เห็นประตูบ้านแกก็เสือกหัวเข้าประตู พร้อมกับด่าว่า เอ้า...อ้ายห่า เข้าไป เสือกตามไปทำไมไม่รู้ พากูลำบากด้วย แล้วแกก็หายไป พอตาลุงเสือกหัวเข้าประตูบ้านก็มีความรู้สึกทางร่างกาย ลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายน้ำจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปีมานั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ออกปากขอความกรุณาแกเพื่อให้แกหาน้ำให้สักขัน จะกินให้สมกับที่กระหาย บอกแกว่า น้าครับผมขอน้ำสักขัน แกคงฟังไม่ถนัด แกก้มลงเอาหูมาใกล้ปาก ก็ออกปากขออีกครั้งว่า น้าครับ ขอน้ำผมสักขันเถอะครับ พอแกได้ยินเข้าเท่านั้น แทนที่จะไปหาน้ำมาให้ แกโดดผลุงข้ามตัวไปสัก ๑ วา แกร้องเสียงดังว่า ผีหลอก ดูเถอะ ท่านผู้อ่าน มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี เรื่องของคนนี่มันสับสนบอกไม่ถูก

เมื่อทุกคนเขาได้ยินเจ้าทิดหัวเหม่งขี้ขลาดเกินคนร้องว่าผีหลอก ทุกคนก็เข้าใจว่าฟื้นแล้ว ด้วยเมื่อหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติท่านมา ท่านมีศักดิ์เป็นลุง ท่านห้ามทุกคนทำกิจทุกอย่างแก่ร่างกาย ท่านบอกให้ปล่อยไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้นเขาอยากเห็นการฟื้น รวมทั้งเจ้าทิดจอมขี้ขลาดตาขาวคนนั้นด้วย ต่างก็ล้อมวงกันเข้ามาตามธรรมเนียมไทยมุง ท่านลุงที่เป็นพระมีคำสั่งให้คนเอาน้ำสะอาด สมัยนั้นก็น้ำฝนเป็นน้ำสะอาดอันดับ ๑ เอามาให้ ๑ ขันขนาดใหญ่ ฉันก็กินเสียจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นเมื่อก่อนตายไม่มีอาการปรากฎเลย ไม่ทราบว่ามันหายไปทางไหน ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า เรียนมาจากหลวงพ่อปาน

วันนั้นท่านแม่เองก็ต้องบรรยายเรื่องภาวนาเสียจนเหนื่อย วันต่อมาพวกกลัวตายพากันมาเรียนเป็นการใหญ่ แต่ใครจะได้อะไรไปบ้างเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ส่วนฉันไปแล้วเขาไม่ให้ไปนรก เมื่อฟื้นแล้วความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ก็เป็นเรื่องแปลก เมื่ออยากเห็นท่านคราวไร เป็นเห็นท่านชัดเจนทุกครั้ง และการไปนรกฉันไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย อยากไปเมื่อไรก็ไปได้ทุกที ฉันไม่รู้ว่าเข้าฌานกันอย่างไร พออยากไปนรก ฉันจำได้ว่าก่อนเห็นนรกฉันเห็นพระองค์นั้นก่อน แล้วฉันก็กลายเป็นคนมีตัว ๒ ตัว แล้วฉันก็ไปนรกได้ ฉันจำได้และฉันก็ปฏิบัติตามนั้นเป็นปกติตลิดมาจนบวชพระ คือ ทุกครั้งที่ฉันอยากไปนรกฉันก็นึกถึงพระองค์นั้นก่อน เมื่อเห็นท่านฉันก็บอกว่าฉันจะไปเที่ยวนรก พอท่านยิ้มฉันก็ไปปรากฎตัวที่เมืองนรกทุกคราว ไม่เห็นต้องตั้งท่าตั้งทางทำพิธีรีตองอะไรเลย

การไปนรกเป็นปกติของฉันทำให้ฉันเป็นคนเลว เพราะเมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์พระมาเทศน์ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์ เมื่อเทศน์จบแล้ว ถามท่านว่าท่านเคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่เคยเห็น ถามท่านว่าเมื่อไม่เคยเห็นแล้วเอาอะไรมาเทศน์ ท่านบอกว่าอ่านจากตำรา เมื่อพูดเรื่องที่ไปเห็นมา ท่านหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน ไม่เห็นมีอะไรดีสักนิด คุยเป็นผู้รู้เอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ทำมาหากินแล้วมานั่งโกหกชาวบ้านว่าตนเป็นผู้วิเศษ เล่าเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นกลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยทำให้เกลียดพระ ไม่อยากไหว้พระ ตามความรู้สึกขณะนั้นคิดว่า เอาอาหารให้พระพวกนี้ให้หมาที่บ้านดีกว่า มันช่วยเป็นยาม พระกินแล้วก็ไป เวลาจะให้ก็ต้องประเคน ต้องไหว้ กินเสียของแล้วหาคุณประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธไหว้ พระที่เป็นลุงท่านรู้สวรรค์นรก องค์นี้ไหว้ องค์ไหนก็ตามถ้ามาบ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมประเคนเด็ดขาด ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคน ใครจะประเคนก็ตามใจ แต่ฉันไม่ยอมประเคนเด็ดขาด ต่อมาเมื่อพบคู่ปรับ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์นี้ไหว้ได้สุดตัว เพราะจะเอาอะไรก็ได้ นรก สวรรค์ หรือนิพพาน ท่านกล้ายืนยันทุกประตู เรื่องที่ไปเห็นมาท่านพูดถูกหมด แล้วยังท้าทายทุกอย่าง อย่างไหนท่านทำได้ อยากจะเรียน ไปสวรรค์ พรหม หรือระดับนิพพาน ท่านบอกว่าท่านมีครบทุกอย่าง พระดีท่านมี แต่พระประเภทหากินหลอกชาวบ้านก็มี ฉันมันเลวเองที่ไปหาว่าพระท่านไม่ดี ไม่อยากไหว้พระ ปฏิปทานี้อย่าเอาไปปฏิบัติตาม ปล่อยให้ฉันระยำไปคนเดียวก็แล้วกัน

---ผลของความตายครั้งที่ ๑---

วันนี้วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ฉันไม่มีเวลาว่างมากนัก เพราะมีคนเขาเอาเรือมาให้เจิม อาชีพเจิมเรือดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีคนชอบเอาเรือมาให้เจิม เมื่อเขาให้เจิมก็เจิม เจิมแล้วมันเป็นอย่างไรฉันก็ไม่เข้าใจ เขาว่ากันว่าเรือที่เจิมแล้วหากินคล่อง แต่ตามที่ฉันคิด ฉันคิดว่าเมื่อเจิมแล้วเจ้าของเรือหรือรถที่มาให้เจิมเป็นคนเกียจคร้านไม่ขยันหากินหรือเป็นคนขยันแต่ไม่ฉลาดในการติดต่อ ฉันคิดว่าเรือหรือรถที่ฉันเจิมให้ไปคงไม่มีผลตามที่เขาพูดกัน เมื่อเขาเชื่อว่าดี ฉันก็ทำให้เขา อย่างน้อยก็อาจเป็นสาเหตุสร้างกำลังใจให้แก่เจ้าของเรือหรือรถที่มาเจิม เรื่องกฎของกรรมเดิมมองเห็นยาก เลยไม่มีใครอยากมอง ผลงานที่จะดีมีผลหรือไม่ดีไม่มีผล มันเป็นกฎของกรรมในอดีต จะเป็นอดีตใกล้ปัจจุบันคือทำเดี๋ยวนั้นเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีมีผล หรืออดีตไกลปัจจุบันคือเวลาผ่านไปนานหน่อยจึงได้ผล

กรรม แปลว่าการกระทำ เราทำให้ลูกค้าคือคนที่มาซื้อของ ๆ เราถูกใจ ชอบใจในเรา อย่างนี้เรียกว่า กุศลกรรม คือทำด้วยความฉลาด การที่ทำให้คนที่มาซื้อของไม่ชอบใจเรียกว่า อกุศลกรรม แปลว่าทำด้วยความโง่ เรื่องของกรรมคนมักจะมองข้ามไป เห็นเป็นเรื่องปรัมปรา เข้าใจว่าเก่าเกินไป เลยมองผ่านไป ความดี ความชั่ว รวยหรือจน ไม่ใช่เรื่องของเทพเจ้าบันดาล มันเป็นเรื่องที่เราทำ แต่เมื่อเราไม่ไว้วางใจตัวเราเองก็เลยต้องอาศัยพระอาศัยเจ้าเป็นกำลังใจ ก็ดีเหมือนกัน เป็นการหาที่พึ่งทางใจ แต่ถ้าคนนำ ๆ ไปในทางที่ผิดก็จะเลยทางดีไป ถ้าคนนำ ๆ ไปในทางที่ถูกก็มีผลไม่น้อย

เพราะคนมีที่เกาะ แม้จะเกาะพลาดไป แต่คนนำฉลาดในการนำก็สามารถนำให้เข้าทางที่ถูกได้ เช่น การเจิมรถเจิมเรือ ถ้าคนเจิมบอกให้เจ้าของรถเรือเกาะแต่แป้งหรือสีที่ทาให้ เป็นการนำผิด เมื่อทาแป้งหรือสีให้แล้วแนะนำให้ขยัน พูดดี มีความระมัดระวัง บอกให้ยึดอะไรสักอย่างหนึ่ง จะเป็นเจ้าหรือพระก็ตามที่เขาเคารพนับถือพอเป็นหลักใจ ผลของการเจิมก็ได้ผล แต่ถ้าคนเจิมมุ่งเอาดีเกินไป ให้จุดธูปบูชาอย่างเดียว ก็ดูเหมือนจะเป็นการแนะแนวที่ไม่ควรเกินไป ผลของการเจิมดีหรือชั่วอย่างไร ฉันเห็นว่าเป็นเรื่องของเจ้าของเรือหรือรถนั่นเอง ถ้าโง่เจิมกี่ล้านครั้งก็ไม่มีผล ถ้าฉลาดไม่เจิมเลยก็รวยมหาศาล เรื่องการเจิมขอผ่านไป เมื่อมันชนเข้าก็เขียนเปะปะไว้อย่างนั้นเอง จะได้ทราบว่าพระยิ่งแก่ยิ่งงานมาก แต่ถ้าพระเมางานก็มีหวังลงนรก

หน้าคำชี้แจงหน้าต่อไปCopyright © 2001 by
Amine
พิมพ์โดย casnova20 มิ.ย. 2545 08:24:55