ประวัติหลวงพ่อปาน
( พระครูวิหารกิจจานุการ ) วัดบางนมโค

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30

***หลวงพ่อปานเรียนหมอ...๒***

ลูกหลานที่รักทั้งหลาย วันนี้ลูกหลานคงจะแปลกใจ เพราะว่ามีการบวงสรวง มีทั้งการชุมนุมเทวดา แล้วมีการตั้งนะโม แต่ความจริงเรื่องของการบวงสรวง การชุมนุมเทวดา การตั้งนะโมนี่ ของฉันมีเป็นปกติ แต่บางขณะที่ต้องการจะทำอะไร ฉันอาจจะตั้งของฉันในใจเอาจิตน้อมถึงบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย และมีพระพรหมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเป็นสำคัญ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของฉันนะ แล้วลูกหลานทั้งหลายจะมีความแปลกใจ เพราะวันนี้มีการแถมตั้งนะโมให้ได้ยิน เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อวานนี้เมื่อฉันบันทึกเสียงเสร็จ ฉันก็ไปนอนใคร่ครวญตัวเองว่า ก่อนที่ฉันจะพูดเรื่องของหลวงพ่อปานนี่น่ะ ฉันก็มักจะเอาอะไรต่ออะไรมาเล่าตอนหน้าเสียก่อนเป็นการเปลืองเวลา มาวันนี้วันที่ ๒๐ ตั้งใจจะไม่มีอารัมภบท หมายความว่าจะไม่มีเรื่องพาดหน้าเรื่อง แต่มันก็ต้องมี ต้องมีเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อคืนวัน ๑๙ ฉันนั่งพระกรรมฐาน วันนี้นึกจะซ้อมอารมณ์เดิม คิดว่าจะไม่เหาะละ จะไม่ทำอะไร ก็คว้ากสิณกองใดกองหนึ่งเข้ามาใช้ วันนี้สมาธิใช้ได้เลย จมไม่ลง ไอ้ที่จมไม่ลงไม่ใช่ว่าอารมณ์ของฉันเสีย เป็นอำนาจพระพุทธานุภาพที่ไม่ทรงอนุมัติ เรื่องของพระพุทธานุภาพนี่น่ะไม่มีอะไรจะไปขัดขวางท่านได้ พอทำอยู่ตั้ง ๒ - ๓ นาทีก็ปรากฏเสียงบอกว่า ฉันสั่งให้คุณระงับ คุณก็จงอย่าลอง ไม่ต้องซ้อม กรรมฐานกองอื่นมีถมเถไป ๓๐ กองทำไมจึงไม่ซ้อม ทำไมจึงต้องมาซ้อมกสิณ ไม่จำเป็นสำหรับคุณ คุณน่ะไม่มีโอกาสที่จะพ้นคนเข้าไปอยู่ในป่าแล้วไปตายคนเดียวได้หรอก มันจะต้องตายอยู่กับคน ถ้าหากว่าคุณไปใช้กสิณเข้า ความเบื่อหน่ายของคุณมีอยู่มากแล้ว ดีไม่ดีคุณก็จะหนีเจ้าหนี้เข้าป่า จะเกิดประโยชน์อะไร ทำไปชำระหนี้เขาไป แล้วเราสร้างความดีชำระหนี้ให้หมด สิ่งใดควรจะเป็นกำรี้กำไรคือเป็นดอกเบี้ย ก็หาให้เจ้าหนี้เขา จะได้เป็นการชดเชยกับที่เราเอาของเขามาใช้ เราใช้เขามาก่อน เอาของเขามาใช้ก่อน เวลานี้เขาจึงใช้เราบ้าง เราก็ปล่อยเขาสิ ถ้าสิ่งใดที่มันไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยเราก็ทำไป ถ้าสิ่งใดที่มันขัดต่อพระธรรมวินัยเราจงอย่าทำ ในเมื่อเราไม่ทำใครจะเป็นเจ้าหัวใจของเรา ฟังแล้วก็สะดุ้ง พอฟังแล้วก็เลยต้องขอขมาท่าน ก็กราบเรียนท่านแต่เพียงบอกว่า ที่จะทำน่ะไม่ใช่อะไร คือ กสิณเป็นกำลังสมาธิใหญ่ สร้างความสุขใจมาก อยากจะทรงพละในฝ่ายกสิณไว้เพื่อเป็นการรักษากำลังใจ ท่านก็บอกว่าไม่ได้ เมื่อแกทำกสิณเข้า แกก็ทำจบฌาน ๔ แล้ว ดีไม่ดีแกก็จะเปิดอีก นี่เมื่อวานนี้ถ้าฉันไม่ท้วงไว้นะ ดีไม่ดีแกก็ไปเชียงตุงเชียงรายแล้ว ไปหาเจ้าเพื่อน ๒ คน นี่ท่านดักคอรู้มา แต่ความจริงถ้าหากว่าทำได้ก็น่ากลัวเหมือนกัน เวลานี้มันไม่ได้ทำเพราะเกรงใจท่าน เอาเรื่องนี้พับไป

เมื่อท่านระงับแล้วฉันก็เลยจับอารมณ์วิปัสสนาญาณ ชำระใจพอสบาย เมื่อใจพอสบายแล้วฉันก็ไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ขณะที่เคลื่อนขึ้นไปปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อปานแล้วก็พระหลายท่านสวนลงมา เมื่อท่านสวนลงมาท่านก็เลยบอกว่า เธอจะไปไหนก็ไป พวกที่นั่งพระกรรมฐานนี่ฉันคุมเอง ก็ดีใจยกมือนมัสการท่านแล้วก็ไป แต่พอไปได้ครึ่งทางก็นึกห่วงพวกกรุงเทพฯ ขึ้นมา แล้วก็พวกพิจิตร ว่าเวลานี้น่ะเขาทำอะไรกันบ้าง เลยแถมาข้างบ้านเจ้ากรมเสริม เห็นในบ้านกำลังวุ่นวายไปหมด คุณอ๋อยเห็นเดินเข้าเดินออก เดินออกเดินเข้า เออ เลยคิดว่านี่เขากำลังมีงานกันหนัก ชาวบ้านเขามีความลำบากมาก อาศัยความเป็นอยู่เองก็หนัก แล้วเขาก็ต้องมาหนักบำรุงฉันด้วย แล้วฉันก็บอกบุญเขา หาเงินมาบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการเพิ่มความหนักอีกสองเท่า ในทุกบ้านเขาก็เหมือนกัน ไปดูบ้านคนอื่นก็เห็นว่ามีแต่ความวุ่นวาย แถไปทางสุพรรณ ไปราชบุรี ไปชัยนาท ไปพิจิตรก็เหมือนกัน ไปดูกุฏิพระสุรินทร์เห็นมันว่าง ๆ อยู่ หน้ากุฏิเห็นใครมาคุยอยู่ ๒ - ๓ คน นึกว่า เอ นี่เขายังคุยกัน แต่เอาเถอะ มันเป็นภาระที่เขาจะต้องทำแต่ละบุคคล ก็หมดกันไป

ฉันย้อนกลับไป ย้อนขึ้นไปพระจุฬามณี วันนี้เข้าไปเฝ้า พบพระพุทธกัสสป ท่านประจำอยู่ที่นั่น มีพระอรหันต์เต็มไปหมด ฉันยกมือไหว้ตั้งแต่หน้าพระจุฬามณีขึ้นไป พอเข้าไปกราบ ๆ ท่าน ท่านก็ท้วงว่า คุณ เมื่อวานนี้คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหลานทั้งหลายที่เขาทำกันว่าแต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ วันพรุ่งนี้ คือ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ คุณต้องย้อนพูดใหม่นะ เวลาจะพูดอะไรละพูดให้มันครบซี ทำอะไรนี่ก็ทำให้มันพอดี ๆ อย่าให้มันขาดตกบกพร่อง คุณไม่ต้องไปเกรงใคร ในเมื่อเราพูดตามความเป็นจริง ก็กราบทูลถามว่า ข้าพระพุทธเจ้าพูดบกพร่องตรงไหนพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็บอกว่า อีตอนที่คุณบอกว่าทุกคนเขามีวิมานน่ะ แต่คุณไม่ได้บอกนี่ว่าวิมานน่ะมันเป็นวิมานประเภทไหน คุณต้องบอกเขา วิมานบนสวรรค์มันมีอยู่หลายขนาด คือ ๑ วิมานเงิน ๒ วิมานทอง ๓ วิมานแก้ว แก้วอย่างเดียวนะ เป็นแก้ว ๆ แล้วก็ ๔ วิมานแก้ว ๓ ประการ ๕ วิมานแก้ว ๕ ประการ ๖ วิมานแก้ว ๗ ประการ แล้วก็ ๗ วิมานแก้ว ๙ ประการ นี่บุญญาธิการของเทวดาแต่ละคนย่อมไม่เสมอกัน วิมานไม่เท่ากัน มีวิมานเหมือนกัน แต่ทว่าความสดสวยของวิมานไม่เหมือนกัน แล้วคุณทำไมไม่บอกเขาล่ะว่า ทุกคนน่ะที่เป็นลูกหลานของคุณ ที่เป็นบริษัทของคุณน่ะ เขามีวิมานขนาดไหน ประเภทไหน คุณต้องบอกเขาซิ บอกเขาว่า ทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณน่ะเขามีวิมานขั้นแก้ว ๗ ประการด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาจะทำบุญมากก็ตาม แต่ว่าที่ทำไปด้วยศรัทธาแท้ไม่ใช่จำใจทำนะ คำว่าบริษัทของคุณน่ะ หมายความว่า ที่เขามีความเลื่อมใสในคุณจริง ๆ มีความเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วเขามีความเลื่อมใสจริง ๆ อย่างนี้เราเรียกกันว่า บริษัท แต่หากว่าประเภทที่จำใจทำ เขายังไม่เรียกกันว่า บริษัท ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก แต่ว่าเขาให้มาเขาก็พอได้ ชนิดวิมานเงินวิมานทองก็พอมีอยู่ แต่ถ้าบริษัทแท้ ๆ ที่มีความมั่นใจในคุณจริง ๆ เขามีวิมานแก้ว ๙ ประการ ตานี้ก็มาว่ากันถึงความผ่องใสของวิมาน ความผ่องใสของวิมานย่อมแตกต่างกันด้วยอำนาจของบุญบารมีคือกำลังของใจ แต่ก็ควรจะบอกเขาว่าวิมานแต่ละวิมานก็มีความสวยสดความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมานน่ะกว้างขวางไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาดวิจิตรตระการตา นี่ก็เรียกว่าความงามของแต่ละวิมานน่ะพรรณนากันไม่ถูก นี่ความจริงมันเป็นยังงั้นนะ ความจริงเป็นยังงั้น ฉันไปเห็นมาแล้วก็เห็นตามนั้น แต่ฉันไม่ได้บอก

นี่ลูกหลานฟังไว้นะ ที่ใครคิดว่าฉันดี ใครเขาเคยคิดว่าฉันเป็นผู้วิเศษ สมมติเอานะว่าเขาคิดอย่างนั้น ก็ต้องจำไว้ด้วยว่า ฉันเองน่ะฉันไม่ดีอะไรนะ แล้วฉันไม่มีอะไรจะวิเศษอีกด้วย ไอ้ความดีที่จะปรากฏขึ้นได้นี่เป็นความดีของครูบาอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระประมุข แล้วก็มีเทวดาหรือพรหมทั้งหลายเขาคอยกระตุ้นเตือนใจอยู่นี่ละ พูดมามันชักจะผิด ๆ หลายคำแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานในปีนี้แหละ ปีก่อน ๆ ก็ไม่ค่อยจะมี ปีนี้รู้สึกว่ามันแก่มาก มันใกล้ตายมากจึงได้เอาหีบศพมาตั้งคอยไว้ คิดว่าจะซ้อมกสิณน่ะ มันมีฤทธิ์ก็จะเก็บฤทธิ์เข้าไว้ เมื่อเวลาจิตจะตายบันดาลร่างกายให้เข้าไปนอนในหีบศพ คิดไว้แค่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมาทรงยับยั้ง เมื่อท่ายับยั้งหลายวาระแล้วนี่ เรียกว่าหลายคราวแล้ว จะให้ท่านว่าทุกคราวก็ไม่ถูก ต่อไปนี้เห็นจะงดกัน ไม่เอาละอารมณ์อีลุ่ยฉุยแฉกแบบนี้ไม่เอา เลกกัน มันจะตายด้วยวิถีแบบไหนก็ปล่อยตามใจมัน มั้นอยากตายดีก็ให้มันตาย ตายชั่วก็ให้มันตาย จะตายแบบไหนก็ตาม ฉันไปนิพพานได้ก็แล้วกัน ช่างมัน ร่างกายจะเป็นยังไงช่างมัน เอาแบบช่างเถอะตามเดิมกันนะ แบบวิชาลูกเสือที่เขาเอามือโบก ๆ ปัดจมูก ไอ้สัญญาณอันนี้ฉันแปลว่าเหม็นขี้หมา เอามือโบก ๆ ข้างหน้า แต่เขาแปลว่า ช่างเถอะตามเดิม ทีนี้ฉันจะเอาแบบนั้น นี่หันมาพูดเรื่องวิมานกันใหม่ แล้วท่านก็บอกว่าวิมานขั้นเทวดาน่ะ บริษัทของเธอมีวิมานแก้ว ๗ ประการเหมือนกันหมด แต่ว่าวิมานใดที่ประกอบไปด้วยกระแสไฟบูชาพระรัตรตรัย หรือให้ไปเป็นประโยชน์สาธารณะ วิมานนั้นก็มีแสงสว่างมากกว่าวิมานอื่น ลุงเสริมนี่แกทำบุญเงียบ ๆ อึกอักแกก็คว้าสตางค์มาหมื่นห้าพันบาทให้ต่อไฟฟ้าเข้วัด นี่เรียกว่าเป็นเจตนาเงียบ ๆ ทำหมก ๆ ที่เรียกว่าไม่ประกาศ ไม่ประกาศกึกก้อง ไม่ชักชวนใคร ทำด้วยกำลังใจแท้ หวังให้ประโยชน์ความสุขแก่พระพุทธศาสนา หมายความว่าคนที่เดินผ่านวัดผ่านวาก็มีใจชุ่มชื่น เห็นแสงไฟก็มีใจสบาย เวลาดึก ๆ ดื่น ๆ น่ะฉันเคยเดิน สมัยโน้นเมื่อเป็นหนุ่ม ตี ๒ ตี ๓ ฉันเดินอยู่กลางทุ่ง เงียบสงัด มีแต่เสียงจักจั่นเรไรจิ้งหรีดมันร้อง รู้สึกวังเวงใจ เดินอยู่คนเดียว แต่พอมองเห็นแสงไฟบ้านใคร ไกลประมาณ ๔ - ๕ กิโลริบหรี่ ๆ อยู่ กำลังใจมันก็ชุ่มชื่น นี่ขั้นไฟเล็ก ๆ นะ นี่ท่านเจ้ากรมเสริมมาทำไฟใหญ่ไว้ให้ แล้วคุณสรรเสริญก็พลอยต่อท้าย แล้วก็มีครูนนทา อนันตวงษ์ พระครูปลัดผ่อง ตามเป็นแถว วิมานประเภทนี้มีคนพลอยโมทนาด้วยก็ดี ที่ทำก็ดี ย่อมมีความสดใส อันนี้เวลาลูกหลานทั้งหลายฟังแล้วจะหาว่าฉันลำเอียงนะ นี่ฉันพูดตามความเป็นจริง ใครอยากจะให้สดใสตามนั้นบ้าง ก็เอาไฟฟ้าเข้าวัดหรือสาธารณประโยชน์ หรือไม่มีที่จะเข้า จะมาช่วยกันเสียค่ากระแสไฟฟ้าก็ได้ เพราะถ้าไม่มีสตรางค์เสียค่าไฟฟ้า ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ มีหลอดอยู่แล้วแสงไฟมันก็ไม่ปรากฏ นี่เราก็ยังมีส่วนที่จะพึงได้บุญอยู่นะ ที่วัดฉันก็ได้นะ ที่วัดไหนก็ได้ ฉันไม่ได้จำกัดนะ การทำบุญไม่ใช่ว่าจะได้บุญแต่เฉพาะทำที่ฉันคนเดียว ลูกหลานทำบุญกับฉันน่ะ มันทำกับขโมยนะ เห็นไหมล่ะ

นี่ เมื่อวานซืนนี้น่ะวันที่เท่าไหร่ ๑๗ ฉันขโมยเงินค่าอาหารไปพิมพ์หนังสือเสียบ้าง พิมพ์หนังสือร่ำรวยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ซื้อยาน่ะไม่เป็นไร ไปซื้อรถเข็นทรายเข็นกรวดเสียบ้าง เอาไปช่วยคนแก่คนไข้ไม่สบายเสียบ้าง นี่ฉันน่ะมันเป็นต้นขโมยเสียด้วย แล้วก็ขโมยมานาน แถมขโมยเงินของลูกของหลานเอาไปสร้างบ้านเรือน เออ อย่าว่าคนแก่เลยนะลูกหลานนะ ก็ทำมาหากินเองไม่ได้นี่ เมื่อทำกินเองไม่ได้มันก็ต้องขโมยแบบนี้แหละ แต่ขโมยอย่างนี้ไม่มีเวรมีภัยนะลูกหลานนะ ไม่เป็นไร เพราะห่วงลูกห่วงหลานเกรงว่าจะเป็นคนจน นี่ลูกหลานฉันคนไหนที่มีบุญบารมีถึงกามาวจรสวรรค์ จัดว่าตกอยู่ในฐานะคหบดีแล้ว ฉันดีใจ ดีใจที่พระใหญ่ท่านบอกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านว่าแล้วท่านก็พาไปชี้วิมานให้ดูว่า คุณเห็นไหม วิมานของเขาสวยสดงดงามขนาดนี้ แล้วก็ชี้วิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วธรรมดา วิมานแก้ว ๓ ประการ วิมานแก้ว ๕ ประการ นั้นมีความสวยสดงดงามไม่เท่ากัน มีความสง่าผ่าเผยไม่เท่ากัน ฉันปลื้มใจ ปลื้มใจที่ลูกหลานของฉันเป็นคนรวย

แล้วต่อไปท่านก็พาไปชั้นพรหม ไปดูวิมานระดับพรหม นี่จะเป็นเล่นไปนะ ลูกหลานของฉันน่ะมีคุณสมบัติระดับพรหมก็ไม่น้อยนะ ไม่น้อยแล้ว ฉันไม่บอกล่ะว่าใครบ้าง บอกเดี๋ยวจะหาว่าลำเอียงหรือรักไม่เท่ากัน เพราะฉันรักเท่ากันหมดทุกคน คนไหนเป็นคนดีฉันรัก เพราะฉันรักความดี


แต่ตัวฉันน่ะมันมีความดีน้อย ไม่รู้จะเหวี่ยงมันไปไว้ที่ไหน นี่เวลาจะทำอะไรก็ต้องบวงสรวง ต้องชุมนุมเทวดา ต้องตั้งนะโม เพราะอะไร เพราะอาศัยบารมีท่านทั้งหลายสงเคราะห์ ไม่ยังงั้นก็พูดไม่ได้ ดีไม่ดีแรงก็ไม่ดี นึกอะไรก็ไม่ออก ขอให้ท่านเข้าดลจิต นี่เวลานี้ท่านมายืนกันพรั่งพร้อม ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ หมอดูพุฒิมา วันนี้กางตำราแต้เชียว เ อาลูกน้องมาด้วย เอาคนคุมบัญชีมาด้วย จะเป็นบัญชีเงินกู้หรือบัญชีอะไรของแกก็ไม่ทราบ มันเป็นสมุดข่อย ลูกน้องของแกคนนี้แต่งตัวเหลือง ๆ เหมือนกัน แกยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า พอฉันพูดตรงนี้แกก็เอามือชี้มาใกล้ลูกตาฉัน แกบอกว่าอย่าทำปากเสียนา เดี๋ยวจะจดเอาไปเก็บในนรกเสียบ้าง แน่ะ ไม่ใช่เล่น แล้วก็หัวเราะ กิ๊ก ๆ ๆ ๆ ชอบใจ พุงใหญ่นี่พ่อคุณ หัวเราะดัง ๆ เหอะ ให้มันสมกับพุงน่ะ หัวเราะงอไปเลย เอ้า แล้ว่าไป แล้วต่อไปก็อันดับสูงสุดชั้นพรหมนี่ฉันกล่าวว่า ฉันเปรียบเทียบว่าเป็นเศรษฐีแล้วนะ เลยคหบดี แล้วอันดับสูงสุดก็อยู่หลายวิมานด้วยกัน ท่านพาไปชมท่านก็ชี้จุด คนนั้นเป็นยังงั้น คนนี้เป็นยังงี้ คนนี้เป็นยังโง้น ชี้แต่วิมาน ชี้ถึงอุปนิสัยใจคอของแต่ละคน ชี้ถึงคุณสมบัติที่ปรากฏในใจ แล้วก็พากลับมาที่จุฬามณี อีตอนนี้ฉันก็สงสัยว่าบริษัทของฉันนี้ไม่ใช่พระอริยเจ้าหมดทุกคน บางคนอาจจะใช่ก็ได้ ใครจะไปรู้ บางคนอาจจะเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคาก็ได้ ใครจะรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง แต่ก็ ฉันก็ไม่มีหน้าที่จะตั้งให้ใครเป็นอริยเจ้า

ฉันคิดว่า สมมติว่าบริษัทของฉัน ลูกหลานของฉันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าหากว่าเขามีวิมานแล้ว ในอันดับกามาวจรสวรรค์ก็ดี อันดับพรหมก็ดี เลยไปก็ดี ที่เลยไปน่ะเมืองมหาเศรษฐี สมมติว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วการไม่ทำความชั่วไม่มมีความผิดน่ะมันไม่มี ความชั่วที่ท่านเรียกกันว่าบาป การผิดศีลมันย่อมปรากฏ อย่างนี้ย่อมจะมีกับคนทุกคน ตรงนี้ฉันห่วงมาก ห่วงมากเพราะเกรงว่าจะพลัดที่อยู่ จึงกราบลงไปแล้วทูลถามสมเด็จบรมครูว่า ภันเต ภควา ข้าแต่พระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า ลูกหลานของพระพุทธเจ้าเป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ตาม แต่คนทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าทุกคน แต่ใครจะเป็นบ้างนั้นข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ สมมติว่าถ้าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ ถ้าบังเอิญว่าเขามีจิตชั่ว เขามีวาจาชั่วในบางขณะ แล้วตอนกลางวันเขาชั่ว ตอนกลางคืนเขาชั่ว แล้วอย่างนี้เขาไม่ไปตกนรกก่อนหรือพระพุทธเจ้าข้า เมื่อกราบทูลถามท่าน ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ตรัสว่า สัมพเกษี เวลานี้ท่านอยู่ด้วยนะ เมื่อกี้ตั้งนะโม ท่านมา สวยเหลือเกิน สวยมาก ทรงยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ ฉันเห็นแล้วฉันก็ชื่นใจ ฉันมีกำลังใจพูด ความจริงเวลานี้ฉันเพลียมาก ฉันนอนตื่นโมงเช้าพอดี นอนตื่นมาตี ๒ แล้วกว่าจะหลับไปก็ตี ๕ มาตื่นเอาโมงเช้าพอดี รู้สึกเพลีย แต่พอบวงสรวงเห็นเทวดามากันครบ ตั้งสัคเค เห็นพรหมและเทวดาชั้นสูงมากันครบ พอตั้งนะโม เห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันเลยมีแรงเลย เวลาพูดนี่ไม่รู้สึกเหนื่อย ขอให้ท่านช่วย ตาพุฒิเขาแยกเขี้ยวอีก เขาบอกว่าช่วยซี ไม่ช่วยก็นอนแหงแก๋ไปแล้ว ลุกไม่ขึ้นละวันนี้ ไม่ต้องนึกละ ยังงี้ต้องถือว่าท่านช่วย แกเป็นคนจี้พุงฉัน เพราะเทวดาทุกองค์ พรหมทุกท่าน พระทุกท่าน ท่านเป็นแต่เพียงยิ้ม ๆ วันนี้หน้าที่ในการพูดน่ากลัวจะเป็นเรื่องของหมอพุฒิเขาละมัง เป็นเจ้ากี้เจ้าการเหลือเกิน ยืนใกล้เชียววันนี้ ยืนไม่ไกลหรอก แค่มือจิ้มพุงถึงก็แล้วกัน นี่แกจิ้มให้ดี ๆ นะ อย่าจิ้มข้าขี้แตกละ โมโหกันเชียวนะ เขาบอกว่าเขาไม่ทำ เอา ว่ากันต่อไป




ท่านก็ตรัสบอกว่า สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้วมันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์เธอก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษีนะ แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าอัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่องต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ


การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกถ้าตามคติของฉัน คำว่าฉันในที่นี้ไม่ใช่ตัวฉันเองนะ พระใหญ่ท่านพูด พระใหญ่ท่านใช้คำแทนตัวท่านว่า ฉัน จำให้ดีนะ ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั่นดี และก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้น้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน


สัมพเกษีเตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เมื่อเวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดีแล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

พวกที่จะไปพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่า คนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เ อาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่

ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยากสัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเองเราก็ไม่เชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะสัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคน ได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ เป็นการสั่งสอนแบบง่าย ๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมท่านนะ ลูกหลานจงจำไว้ ถ้าใครเขาว่าฉันดี ใครเขาว่าฉันเป็นผู้วิเศษละก็ อย่าไปคล้อยตามเขานะ อย่าไปคล้อยตามเขา ตัวฉันไม่มีอะไรจริง ๆ นะ ฉันต้องพึ่งพระ พึ่งเทวดา พึ่งพรหม ทุกอย่าง ตอนนี้ลุงพุฒิแยกเขี้ยวอีก ว่าไงล่ะ แยกเขี้ยวว่าไงพ่อคุณ บอกจริง พูดจริง แล้วไม่จดลงนรกหรือไง ถ้าพูดแบบว่าตัวเองดีจริง ๆ ดีเสียคนเดียว เขาจะจดจำไว้ในอเวจี และให้นานเป็นพิเศษเพราะมีบุญบารมีมาก บุญมากที่ไปแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้าว่าตัวรู้จริง ลุงพุฒิวันนี้ขำ ๆ นะ นั่งยิ้มตลอดวันเลย อารมณ์ดี ว่างหรือไงพ่อคุณ อ้อ ตอนบ่ายมีงานเรอะ เขาบอกว่าตอนเช้าเขาว่าง ตอนบ่ายมีงาน เขาเลยมานั่งคุม ดีเหมือนกัน เออ ลุงเอ๋ย ไอ้ร่างกายนี่มันไม่ค่อยดีนะลุงนะ ให้ข้าตายสบาย ๆ หน่อยนะ เวลาจะตายอย่าให้มันอืดมันจุกมันเสียกมากนักนะ ลูกหลานเขาจะหนักใจ ยังไง ๆ ข้าก็ตายแล้ว มันก็จะต้องตายกันแล้ว ให้มันตายเรียบ ๆ สักหน่อยนะลูกหลานเขาจะได้ไม่ดิ้นไม่รน ถ้าเขาเห็นเป็นอะไรมากแล้วใจเขาจะไม่สบาย ว่าไง แกตอบมาว่าไงรู้ไหม บอกเสือกทำกรรมชั่วไว้มากทำไมล่ะ ฮึ ลองพ่อซิ บอกว่าเสือกทำกรรมชั่วไว้มากทำไม ร่างกายมันก็ถูกทรมาน เอาเป็นอันว่าเจ๊ากันนะ ช่วยได้ก็ช่วยนะ ช่วยไม่ได้ก็ตามใจ แต่พยายามช่วยก็แล้วกันนะ ไอ้เรามันพวกเดียวกัน

เออ ลูกหลาน นี่เวลามันเสียไปมากอีกแล้วซีนี่ ฉันจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อปานนี่มันมากแล้ว เวลามันเข้าไปเยอะแล้ว เอาต่ออีกนิดนะ เรื่องนี้จบกันนะ ลูกหลานเข้าใจแล้วใช่ไหม ทำไว้นะ ทำตามที่พระท่านสั่งนะ ทำแบบสบาย ๆ อย่าลืมนะ เวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องไปนึกถึงอะไรนะ นึกถึงวิมานบนสวรรค์ นึกถึงวิมานบนพรหม นึกถึงพระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามใจ ไม่ว่าอะไรหรอก แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสถานที่อยู่ก็ดี จะเป็นเหตุมีทรัพย์สินมากหรือทิพยสมบัติมากก็ดี สิ่งที่เป็นตาทิพย์หูทิพย์ก็ดี ฉันเอาเงินของลูกของหลานมาสร้างไว้ครบแล้วนะ ที่ฉันว่าฉันฟูใจ ฉันดีใจฉันครบ เวลานี้ซื้อเครื่องฟังเสียง เครื่องส่งเสียงง่าย ๆ เข้ามาอีกเครื่องหนึ่ง ก็เป็นหนี้เขาเหมือนกัน บอกไว้ก่อนนะ ทีหลังถ้าใครเอาสตางค์มาให้ละก็จะขโมยไปใช้หนี้เขาแบบนี้อีกนะ ตานี้มีครบละ สบายละ แต่อุปกรณ์บางอย่างมันยังไม่ครบนัก ถ้าตึกหลังใหม่ที่จะสร้างหลังใหญ่ ถ้าสร้างขึ้นแล้วก็จะซื้ออุปกรณ์มาเสริมที่นั้น มันก็ต้องเพิ่มเงินไปอีก ไม่เป็นไร ไม่ต้องเดือดร้อนนะ เจ้าหนี้เขาไม่เร่ง ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันใช้เสียงตะโกนเรียกลูกน้องฉันไม่ไหว บางวันมันเหนื่อยเหลือเกิน เรียกเขาขนาดเต็ม ๆ เสียงนี่น่ะ เขาไม่ได้ยินเสียงกันหรอก หันหลังให้แล้วไม่มีใครได้ยิน ก็เลยต้องซื้อเครื่องช่วยเสียง เมื่อซื้อมาแล้วฉันก็คิดในใจว่า นี่ฉันซื้อมอบเป็นสมบัติของพระศาสนา บุญของลูกหลานจะได้เป็นบุญใหญ่ยังไงล่ะ ฉันตายแล้วจะแบกไปไหน ฉันแบกไปไม่ได้หรอก มอบให้เป็นของพระศาสนาไป แต่อุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากวิหารแล้วที่อยู่ ถ้าฉันตายแล้วนะ พิจารณากันดู ถ้าพระรุ่นหลังเขาจะปกครองได้ก็ให้เขาปกครองไป ถ้าเห็นว่าเขาปกครองไม่ได้ให้ประมูลขายให้หมด ทุกอย่างที่เป็นอุปกรณ์ที่ฉันสร้างขึ้นมา เว้นไว้แต่ตัวอาคาร ให้ประชุมกัน จัดการประชุมให้หมด เอาเงินอันนั้นแหละมาจัดการเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ จะจัดการเพื่อประโยชน์แก่ศพฉันก็ได้ หรือว่าจะสร้างอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันเป็นถาวรวัตถุไว้ในพระศาสนาก็ได้ ทำอย่างนี้นะ อย่าปล่อยตามใจพระสมัยนี้ ถ้าหากว่าเขาถามว่าเอาอะไรมาเป็นเหตุเป็นผลเป็นเครื่องยืนยัน ก็เอาเสียงของฉันบ้าง หรือว่าใครเขาลอกเสียงแล้วไปพิมพ์ก็ตาม มายืนยันกับเขา ว่าฉันพูดไว้เมื่อ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่นี้ เมื่อเวลาฉันตายแล้วให้ประมูลขายให้หมด ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าพระที่จะมาอยู่ใหม่นี้ใช้ไม่ได้ ค่ากระแสไฟฟ้าก็ไม่ไหวแล้ว นี่ดีว่าลูกหลานสงเคราะห์ฉันนะ นนทา อนันตวงษ์ เขาให้ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือน เงินของลูกหลาน แล้วก็ส่วนอื่นอีก อุปกรณ์ต่าง ๆ ซื้อเพิ่มเข้ามาทุกปีก็เอาเงินจำนวนค่ายาค่าอาหารนี่แหละมาใช้ นึกว่าพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันจะเหลือกินเหลือใช้สักนิดหนึ่งนะ นี่มันไม่ทันจะเหลือซิ ยังไม่ทันมีเลย ฉันแอบไปซื้ออีกแล้ว เครื่องหูสำคัญมาก ตาดีแล้วหูก็ต้องดีด้วย แล้วอีกประการหนึ่งมันก็ช่วยฉันเบาแรง ฉันคิดว่าถ้าฉันขืนเรียกบริษัทฉันแบบนี้ซึ่งเป็นบริวารภายใน ไม่ช้าฉันก็ขาดใจตาย ไม่ไหวจริง ๆ เขาพูดกันฉันได้ยิน แต่ฉันตะโกนเรียกเขาเขาไม่ได้ยิน แปลก เลยต้องใช้เครื่องมาช่วยแทน ลูกหลานฟันแล้วโมทนานะ ทุกจังหวัดแหละ เงินของใครบ้างฉันไม่รู้ ฉันเอามาแล้วฉันก็เอารวม ๆ กันไปซื้อแล้วก็ยังเป็นหนี้เขาอยู่ ช่างเถอะไม่ต้องเดือดร้อนให้กันมา ให้ตามกำลังศรัทธา เมื่อมีศรัทธาก็ให้ ไม่มีศรัทธาก็ยับยั้ง มีแล้วยังไม่มีศรัทธาก็ไม่ต้องให้ ฉันก็รวบรวมของฉันเอง พอเมื่อไรฉันก็ให้เขาเมื่อนั้น เอาสบาย ๆ กัน

นี่เวลาก็จะหมดไป เรื่องของหลวงพ่อปานจะเข้าก็ยังไม่ได้เข้า มาเข้าสักหน่อยไหม มาเข้ากันสักนิด มาเอาเรื่องของเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ได้รับหนังสือของวัดเขาชายธงวนาราม อำเภอตากฟ้า ท่านจดหมายมาหาลงตั้งแต่วันที่ ๖ มาถึงฉันวันที่ ๑๙ อ่านของท่านแล้ว ท่านตั้งใจให้ฉันเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้าคือไปนั่งปรก ท่านจะสร้างพระประธาน แล้วก็สร้างพระแบบสุโขทัยขนาด ๕ นิ้วกับ ๙ นิ้ว ไว้ให้ชาวบ้านบูชา ในฎีกาว่าให้สวดลักขีด้วย ให้ไปร่วมในงาน ฉันไปไม่ได้ ยังไม่ได้ตอบหนังสือเลย วันนี้จะตอบหนังสือ กว่าหนังสือจะถึงก็น่ากลัวงานจะเสร็จไปแว ไปรษณีย์ของเรานี่น่ากลัวจะช้ามากเกินไป แต่วัดเขาชายธงมาถึงวัดท่าซุงนี่ระยะทางก็ราว ๆ ๓๐ กม. เศษ ๆ เอ้า ๔๐ - ๕๐ กม. เป็นอย่างมาก นี่เดินทางตั้งแต่วันที่ ๖ ถึงวันที่ ๑๙ นี่หมดเวลาไป ๑๓ วัน เดินไกลมาก เดินด้วยเท้ายังถึงเร็วกว่า ที่ท่านนิมนต์ให้ไปนี่ ถ้าคิดว่าว่างก็คงไม่ไป เรื่องนิมนต์เวลานี้รับยาก ใครนิมนต์ยากไม่ค่อยจะรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนิมนต์ให้ไปเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า ถ้าบวชองค์ใหญ่เห็นจะเอาคือบวชพระประธาน บวชองค์ ๕ นิ้วกับ ๙ นิ้วนี่ไม่เห็นด้วย เพราะสร้างพระแบบนี้แล้วก็ขายกันสำหรับให้ไปบูชาน่ะ ไอ้บูชากับขายมันก็เหมือนกัน เช่า บูชา ขาย เหมือนกัน ขายกันก็ต้องตั้งราคาซิ ใช่ไหมล่ะ ไอ้ศัพท์นี่มันเหมือนกัน จะว่ามันยิ่งหย่อนกว่ากันนั้นไม่ได้ อย่างคำว่า เสวย ของพระราช แล้วก็รับประทาน ทาน กิน เจี๊ยะ ยัดห่า สวาปาม ก็เป็นอันว่ากินเข้าไปอิ่มท้องเหมือนกัน มันมีค่าเสมอกัน เป็นแต่เปลี่ยนศัพท์ให้แตกต่างไปเท่านั้น การสร้างพระขายแบบนี้ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่เคยขาย พระพุทธรูปเล็ก ๆ ฉันเคยสร้าง สร้างทีไรขาดทุนทุกที ฉันอยู่วัดบางนมโค สร้างพระพุทธชินราชขนาด ๑๐ นิ้ว ทองน่ะฉันหาของฉันเองนะ ช่างเขาเอาค่าแรงงาน ๒๕๐ บาท ฉันประกาศเท่านั้น มีชาวบ้านมารับเท่านั้น ฉันขาดทุนค่าทอง ค่าพาหนะ ไม่ขาย หากว่ามาถามว่าทำไมไม่เอากำไร หันหน้าไปดูลุงพุฒิแกซี แกบอกเอาซิเอาซิ อีขุมนี้จะได้จดลงไปชื่อหนึ่ง ฮึ กำลังหันหน้ามายิ้มแหยบอกว่า ว่าเอากำไรซี ทีนี้พูดถึว่าเอากำไร แต่ทว่าเขาเอาไปสร้างถาวรวัตถุ หมายความไปสร้างความดีเป็นศักดิ์ศรีของพระศาสนามันก็ดีไป แต่ทว่ากำไรเอาไปสร้างในทางที่ผิดก็แย่เหมือนกัน อันนี้ไม่ได้ประฌามท่านนะ แต่ว่าไม่เห็นด้วย แล้วอีกประการหนึ่ง ในฎีกาท่านบอกว่าขอให้ไปร่วมงานและสวดลักขี อ้ายเรื่องสวด ๆ นี่ฉันเห็นว่าเป็นประเพณีมากเกินไป สวดกันแต่อิติปิโสก็เหลือแหล่แล้ว ฉันไม่เอาด้วย ต่อไปฉันไม่เอาด้วย ฉันเหนื่อย เหนื่อยแล้วไม่ได้ประโยชน์แล้วจะเอามาทำไม ทำให้มันเหนื่อยทำไม ไม่เอา ยังไม่ได้ตอบจดหมายเขาไปเลย เมื่อวันก่อนมีคนเขามาตั้งให้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และพร้อมกันวันเดียวก็ตั้งให้เป็นพญายม เมื่อวานนี้มีคนมาตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า แล้วก็ส่งมาทางจดหมาย นี่ฉันมันก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ วาสนาบารมีมันไม่ใช่เล่นเชียวนะ มันสูงมากขนาดเป็นอุปัชฌาย์พระพุทธเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดูพ่อทำกันเถอะ

หน้าที่ผ่านมาหน้าต่อไปCopyright © 2001 by
Amine
พิมพ์โดย Amine18 เม.ย. 2546 18:45:25