ประวัติหลวงพ่อปาน
( พระครูวิหารกิจจานุการ ) วัดบางนมโค

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30

***ไปเขาวงพระจันทร์***

ลูกหลานที่น่ารักทุกคนที่กำลังฟังฉันเล่าเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อปานมาหลายวันแล้ว วันนี้วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๔ เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปเป็นเรื่องเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ เขตจังหวัดลพบุรี เรื่องนี้มีเรื่องประกอบหลายประการ อาจจะเล่าให้ฟังวันเดียวไม่จบ เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน เหนื่อยเมื่อไรก็พักเล่าให้ฟัง วันต่อไปพูดกันใหม่ ตกลงตามนี้นะ เข้าเรื่องกันเลยนะ เมื่อออกจากเขตพระพุทธฉายต่างก็มุ่งเข้าเขตลพบุรี สมัยเดินนี่นะจะเอาอย่างสมัยรถอย่างปัจจุบันไม่ได้ เดินกันตามอารมณ์ เดินมาพักแรมกันมา เมื่อถึงเขตแต่ละเขตที่พัก หลวงพ่อปานท่านไม่ยอมให้พวกเรามีเวลานั่งนอนได้ตามสบาย คือ คอยควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ วิธีคุมอารมณ์ของท่านก็มีบัญชาให้คณะธุดงค์ใช้วิชชา ๒ ในวิชชา ๓

๑. ให้ตรวจตราสถานที่ที่พักและผ่านมาว่า มีสถานที่ใดที่เคยตั้งบ้านตั้งเมืองบ้างไหม มีอะไรสำคัญบ้าง เมื่อตรวจตราแล้วก็ทำรายงานถวายด้วยสมุดปกแข็งที่ชาวบ้านซื้อมาถวาย ความจริงสมุดที่เขาถวายนี้มาคิดเดี๋ยวนี้เองว่าราคาแพงมาก เพราะเป็นบันทึกของคณะธุดงค์ธรรมดาของพระโบราณ ที่พวกนักเทศน์นักธรรมสมัยใหม่ว่าครึเต็มทน แม้คนสมัยใหม่เขาก็หาว่าไร้เหตุไร้ผล แต่ทุกท่านต่างคนต่างเขียน มันเกิดมีข้อความที่สำคัญตรงกัน เช่น ที่ตรงไหนเคยตั้งบ้านตั้งเมือง บ้านเมืองเขาสร้างด้วยอะไร ใครเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนั้น เขามีจริยาเป็นประการใด ขณะนี้เขาอยู่ในนรก สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือเขาหายสาบสูญไปจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว งานที่ทำต่างก็บันทึกต่อหน้า ท่านห้ามปรึกษาหารือกัน ในบางขณะท่านจะชี้จุดที่ดินที่ใดที่ดินหนึ่ง แล้วถามว่าตรงนี้เคยมีความสำคัญอะไรบ้าง เมื่อท่านถามแล้วท่านให้คณะธุดงค์เขียนทันที นั่งห่างกัน ต่างคนต่างเขียน เมื่อเขียนแล้วเอามาถวายท่าน มันเป็นการบังคับการควบคุมฌานและญาณกันตรง ๆ อย่างนี้ท่านเรียกว่ากีฬาสมาธิ มันเพลิดเพลิน มีอารมณ์สบาย ต้องอยู่ในฌานตลอดวัน ด้วยเกรงว่าจะมีบัญชาให้ตรวจอะไร เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าสั่งแล้วทำยืดยาดก็จะได้ฟังเทศน์มหาชาตินอกแบบ (ถูกหาว่าประมาทเกินไป) เมื่ออารมณ์ทรงฌาน นิวรณ์คือเหยื่อความชั่วของจิตก็เข้าไปใกล้จิตไม่ได้ แต่ถ้าเอาแต่ฌานอย่างเดียวการรู้เห็นอะไรก็ไม่แจ่มใส มันมืดชอบกล ต้องอาศัยอารมณ์วิปัสสนาคอยเป่าฝุ่นคือละอองกิเลสที่คอยเข้ามาทำจิตให้มัวหมอง จะได้รู้เห็นเหตุที่พึงจะรู้ได้แจ่มใสชัดเจน จัดว่าท่านฉลาดฝึกศิษย์ของท่าน คณะธุดงค์คณะนี้เป็นคณะพิเศษของท่านกระมัง ท่านจึงสั่งตามที่ท่านต้องการได้เสมอ การปฏิบัติตนอย่างนี้มีผลเพียงใดลูกหลานคิดเอา ฉันคิดว่าผลที่พึงได้ในญาณต้นนี้นี้คือ ทิพยจักษุญาณ ที่แยกตัวออกได้เท่าใด ก็ได้บอกไว้แล้วในวันก่อน หวังว่าลูกหลานที่น่ารักทุกคนคงจำได้ เอาผลตามญาณนี้ก็คือ

ก. รักษาอารมณ์สมาธิเป็นอธิจิตสิกขา ด้วยอาศัยที่มีศีลสิกขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว สามารถกีดกันนิวรณ์อารมณ์ชั่วไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิตได้ จนเห็นเนกขัมมบารมีที่แท้ ที่ถือบวชกันแล้วปล่อยนิวรณ์ครอบงำจิตได้นั้น ท่านไม่ถือว่าเป็นเนกขัมมะคือการถือบวช ท่านถือว่าหลอกลวงชาวบ้าน เอาเปรียบชาวบ้าน และเป็นมารสังคมต่างหากทำตัวเป็นผู้ดี แต่เนื้อแท้เป็นผู้ร้ายที่ปล้นชาวบ้านได้อย่างกฎหมายไม่กล้าลงโทษ

ข. มีผลในการคล่องในการใช้ญาณ มีความเพลิดเพลินบันเทิงใจ มีความรู้เรื่องที่คิดว่าจะไม่รู้ เป็นกำไรชีวิตมหาศาล

ค. ได้เห็นตามความเป็นจริง ตามอารมณ์วิปัสสนาญาณตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ว่าอะไรมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง มีทุกข์ และมีการสลายตัวในที่สุด บ้านเมือง คน สัตว์ที่พบ มันไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ซากก็ไม่มี มันไม่เป็นอนัตตามันจะเป็นอะไร เป็นอันว่าเข้าถึงวิปัสสนาด้วยอารมณ์รื่นเริง ไม่ต้องมานั่งจับเจ่าในห้องในกุฏิให้โรคประสาทรบกวน ดีไม่ดีก็เกิดพองไม่ยุบ หรือยุบไม่พองอย่างคุณแม่เขียน อนันตวงษ์ ท่านบอกให้ฟังว่า ฉันเข้ากุฎิ ๓ เดือน เกิดพองไม่ยุบ คือ ไม่ได้เดินไปไหนเกิดบวมขึ้นมาเลยพองไม่ยุบ วิชชานั้นไม่ใช่เป็นวิชชาที่ใช้ไม่ได้ดีเหมือนกันถ้าใช้ถูกแบบ แต่คนที่ใช้เกิดใช้เลยแบบหรือไม่ถึงแบบก็เลยมีผลอย่างนั้น

๒. ญาณที่ ๒ ที่ท่านสั่งก็คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ใช้ญาณนี้ระลึกชาติของตนเองถอยหลังเข้าไปตามกำลังของตน ให้ทราบว่าสถานที่นี้ตนเองเคยมีความเกี่ยวพันอะไรมาด้วยสถานที่นั้น แล้วก็ตายด้วยอาการอย่างไร มีเมีย มีลูก มีทรัพย์สิน พวกนั้นหายไปไหน ตัวตนขณะนั้นบางรายทำท่าเบ่งเป็นพ่อบ้านพ่อเมือง แล้วเจ้าคนนั้นมันหายไปไหน ตามภาพไป มันตายแล้ว ไปนรกบ้างไปสวรรค์บ้าง จากคนรวยไปเกิดเป็นคนจนบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ในที่สุดก็มาปรากฏเป็นคณะลิงหน้าพลับพลา มองดูแล้วก็สบายใจที่ทราบ แต่ก็สลดใจที่เมาเกิด เมาสมบัติ เมาเมีย เมาลูก เมาอำนาจ เมาทรงอยู่ ในที่สุดก็เอาอะไรไว้ไม่ได้เลย เลยพากันเบื่อเกิดต่อไป นอกจากเพลิดเพลินแล้วก็ยังผลในด้านวิปัสสนาญาณ จัดว่าท่านฉลาดไม่น้อยเลย แต่ถ้าท่านโง่กว่านั้นก็คงปราบพวกลิงหน้าพลับพลาไม่อยู่ ด้วยแต่ละตัวเป็นลิงเปรียวทั้งนั้น ไม่เปรียวอย่างเดียว เป็นลิงจอมดื้อ จอมพิสูจน์ทั้งหมด ถ้าสงสัยอะไรสักนิด คณะลิงหน้าพลับพลาจะต้องค้นคว้าหาความจริงให้ได้ ถ้าไม่สามารถจะหาได้จะยอมตายดีกว่าที่จะยอมแพ้ ท่านรู้นิสัยคณะลิงหน้าพลับพลาดี เมื่ออยู่วัดก็ไม่เห็นแสดงอะไร พอออกป่าเท่านั้นเองท่านแสดงความสามารถออกมาอย่างคนละองค์เลย ไม่น่าเชื่อ แต่ต้องเชื่อ เพราะลิงทั้งหลายประสบมาเอง เสียดายที่ลูกหลานไม่มีโอกาสพบท่านนะ ถ้าได้พบท่านจะลืมพัดยอดแหลมไปตาม ๆ กัน


( พัดยศแบบต่าง ๆ )

นี่ฉันพูดอะไรไปบ้าง เวลาเลยมานานแล้วคงไปไม่ถึงไหน เพราะคนแก่ แถมหัวล้านเสียด้วย พูดไปพูดมาชักเหงื่อหัวล้านจะเริ่มซึมออกมาแล้ว เวลาจะเอวังมันก็ใกล้เข้ามา ๆ เดินต่อไปกันดีกว่า เมื่อออกจากพระพุทธฉายก็มุ่งมาเขาวงพระจันทร์ ระหว่างทางยังไม่คุยนะ เพราะเกริ่นไว้วานนี้ว่าจะเล่าเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด หลาน ๆ คงไม่รู้จักวัวเขาอ่อนกระมัง ประเดี๋ยวก็รู้จัก ฟังต่อไปจะเล่าให้ฟังแบบลัด เพราะมันเริ่มเหนื่อย ขืนอ้อมไปมากเหงื่อหัวล้านจะไหลมาก เป็นอันว่าระหว่างทางจากพระพุทธฉายมาพระพุทธบาทไม่มีอะไรมากนัก เมื่อเลยพระพุทธบาทมาเข้าเขตลพบุรี หลวงพ่อท่านบอก คณะลิงทั้งหลายไม่มีใครรู้จักทางและไม่ทราบเขตแดน หลวงพ่อท่านชำนาญ ท่านพาเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง อยู่ในถ้ำองค์เดียว ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าถ้ำอะไร ด้วยไม่ได้ถามท่าน สถานที่นี้ไม่มีบ้านเลย แม้เสียงสุนัขชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยิน มันไกลบ้านจริง ๆ เมื่อแวะเข้าไปปรากฏว่าพระองค์นั้นท่านต้อนรับหลวงพ่อด้วยดี รู้จักกันมานาน ท่านแนะนำพวกคณะลิงหน้าพลับพลาว่า ท่านองค์นี้ทรงอภิญญาโลกีย์สมาบัติ ชำนาญในการเนรมิต พวกลิงไหว้ท่านก็รับไหว้ด้วยดี ท่านคุยกัน ๒ องค์สนุกสนาน คุยเรื่องที่ลิงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ในที่สุดหลวงพ่อท่านก็บอกว่า ที่พาคณะศิษย์ชุดนี้มาก็เพราะอยากให้เขาเห็นของจริง ของจริงของพระพุทธศาสนานำออกในบ้านในเมืองไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันคอยลิดรอน เมื่อพระด้วยกันว่าไม่มี ทำไม่ได้เสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็เชื่อ เมื่อเขาเชื่อพระใหญ่พรือพระหมู่มาก พวกเราเป็นพระเล็กที่ไม่มีเครื่องหมายยศให้ชฃาวบ้านนับถือ ไปทำอะไรเข้าเขาก็พากันประณาม คณะศิษย์ผมเขาอยากเห็นของจริงชอบค้นคว้า ชอบฝึกทุกอย่างที่มีในหลักสูตร เมื่ออยู่ในวัดก็ได้แต่บอก หรืออย่างมากก็ใช้เจโตปริยญาณเป็นคราว ๆ เพื่อให้สนใจเป็นอัศจรรย์บ้าง แต่พอออกป่าก็ออกท่าได้เต็มที่ เขาจะได้ทราบว่าความรู้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาแม้แต่พระอรหันตผลก็ยังไม่สลายตัว นักปราชญ์ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเองว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ท่านกลัวคนจะตกใจว่าเมื่อพระอรหันต์ยังมี คนที่มีเมียแล้วถ้าจะบวชเกรงว่าเมียจะคิดว่าผัวเป็นพระอรหันต์แล้วตัวจะเป็นม่าย จะไม่อนุญาตให้ผัวบวช ท่านเลยเขียนเสือหลอกวัวไว้ให้ ท่านพูดแล้วท่านก็ชวนกันหัวเราะ ฟังท่านคุยกันแล้วไม่รู้เรื่อง ต่อมาท่านเจ้าของถิ่นหันมาคุยว่า ผมเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพียงแต่ได้ฌานโลกีย์ ที่ออกจากหมู่คนก็เพราะยังไม่แน่ใจตนเองและประสงค์อรหัตผล ฟังแล้วสบายใจดีแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อยามค่ำก็นอนในห้องของท่าน ถ้ำนั้นกว้างขวางมาก สมัยนี้ที่เขาเรียกว่า ถ้ำคูหาสวรรค์ จะใช่หรือไม่ใช่ไม่เคยไปดูอีกเลย

พอรุ่งเช้าท่านทั้งสองนั่งคุยกันอีก วันนี้หลวงพ่อไม่สั่งให้บิณฑบาต เมื่อท่านไม่สั่งคณะธุดงค์ก็ไม่เตรียมตัว เมื่อท่านคุยสักครู่ ท่านเจ้าของถิ่นถามหลวงพ่อว่า ที่นี่กับข้าวก็หายากแต่บอนใกล้ถ้ำในบึงเล็ก ๆ มีมาก ท่านถามว่าฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อบอกว่าฉัน เมื่อถามกันแล้วท่านเจ้าของถิ่นก็ไปตัดบอนมา ๑ ต้น มาถึงก็ไม่ปอกเปลือก หั่นตามแบบแกง แล้วก็เอาหม้อดินใหม่เอี่ยมมา ๑ ลูก หั่นออกใส่ แล้วก็เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาหม้อปิด แล้วเอาข้าวสารหยิบมือหนึ่งใส่ในหม้อดินอีกลูกหนึ่ง เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาปิด เอาหม้อสองลูกวางไว้ข้างหน้า ไม่เห็นตั้งเตา วางไว้กับพื้นเฉย ๆ นั่งคุยกันไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ ๘ น. ท่านเจ้าของถิ่นถามว่าหิวหรือยัง หลวงพ่อท่านตอบว่าหิวแล้ว ท่านเจ้าของถิ่นท่านตอบว่าหิวก็ฉันได้แล้วนี่ ข้าวแกงสุกนานแล้ว ว่าแล้วท่านก็เปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกง ปรากฏว่าข้าวสุกเต็มหม้อถึงฝาละมี มีควันคลุ้งเหมือนเอาลงจากเตาใหม่ ๆ แกงเต็มหม้อ มีควันขึ้น กลิ่นหอมเหมือนแกงบอนปกติ แถมมีเนื้อปลาในแกง หม้อทั้งสองลูกดูแล้วเห็นว่าจุข้าวไม่ถึงจาน เพราะมันลูกเล็กนิดเดียว ท่านให้ล้อมวงฉัน แต่ตัวท่านเองไม่ฉัน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฉันมาหลายปีแล้ว พวกคณะลิงหน้าพลับพลาสงสัย ถามท่านว่าท่านไม่หิวหรือ ท่านบอกอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่หิวและมีกำลังเป็นปกติ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุขต่างก็ล้อมวงกันฉัน แต่ละองค์ฉันจนเต็มอัตราศึก ข้าวสุกกับแกงที่คิดว่าแม้แต่องค์เดียวก็ไม่ได้ครึ่งท้อง มันแปลกเมื่อยังไม่มีใครอิ่ม ตักออกมาเท่าไรก็ไม่หมด รสก็อร่อยดีกว่าพ่อครัวแม่ครัวชั้นเลิศแกงกว่าไหน ๆ แต่พอท่านทั้งหมดอิ่มพร้อมกันแล้ว หาข้าวสุกสักเม็ด น้ำแกงสักหยดก็ไม่มี หลวงพ่อท่านรู้ใจศิษย์ท่าน ท่านรีบบอกว่าข้าวแกงอย่างนี้เรียกว่าอาหารอภิญญา คือเกิดได้จากการเนรมิต คำว่าเนรมิตหรือนิรมิตแปลเหมือนกัน นิรมิตเป็นศัพท์เดิมที่ยังไม่แปลง ท่านแปลงสระอิเป็นสระเอตามแบบของภาษาบาลี มีความหมายอย่างเดียวกัน เมื่อฉันเสร็จแล้วก็พักกับท่าน ๓ วัน ท่านก็สอนวิชชาอภิญญากับคณะธุดงค์ เมื่อครบ ๓ วันแล้วก็ลาท่านเดินทางต่อไป

---ท่านเจ้าของอาหารพบวัวเขาอ่อน---

ขอเล่าเรื่องท่านให้จบไปเลย เวลากาลผ่านไปกลาง พ.ศ. ๒๔๘๑ ตอนเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๕ น. หลวงพ่อปานกำลังรับแขกอยู่ มีชายคนหนึ่งไปหาหลวงพ่อ ขึ้นจากเรือเดินประจำทาง กรุงเทพฯ - ผักไห่ เมื่อขึ้นไปหาท่าน ก็ถามว่า จำผมได้ไหมครับ หลวงพ่อปานก็เอามือป้องหน้าตามแบบฉบับของคนแก่ที่ตาไม่ใคร่ดีอย่างฉันอย่างนี้แหละ แต่ทว่าท่านไม่ดีแต่ตา ฉันไม่ดีมากกว่าท่านหน่อยที่ตาก็ไม่ดีแถมหัวล้านเสียด้วย หัวที่ล้านมันเป็นอนัตตามีประโยชน์ เอาอีกแล้วเกิดมาอวดคุณภาพหัวล้านเสียอีกแล้ว ขอผ่านไป ฉันมันจัญไรเสียจริง ๆ ทีคนอื่นเขาหัวล้านเขาถนอมศักดิ์ศรีไม่ยอมให้ใครมาเลียบเคียง มันอดโชว์หัวล้านไม่ได้ รู้สึกว่ามันโก้ ๆ ชอบกล เล่าเรื่องของท่านต่อไป เมื่อหลวงพ่อปานจ้อง ท่านก็บอกว่าผมคือพระที่ถ้ำที่ท่านไปพักแล้วแกงบอนให้ฉันอย่างไรเล่า เมื่อท่านกล่าวประวัติ หลวงพ่อก็นึกออก ถามว่านี่ทำไมนุ่งกางเกงเสียเล่าพ่อคุณ ท่านบอกว่าถูกวัวเขาอ่อนมันขวิดเอา หลวงพ่อปานหัวเราะชอบใจ ถามว่าไปทำอย่างไรจึงเสียท่ามันเล่า ท่านบอกว่า เมื่อท่านจากไปแล้วมีคนเดินป่าไปพบท่านเข้า เขาคงคิดว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐขนาดไต้อ๋องหรือไท้แป๊ะกิมแชกระมัง ที่ว่ามานี้ไม่รู้เรื่องเลยว่าไต้อ๋องหรือไท้แป๊ะกิมแชเขามีความหมายว่าอะไร เมื่อมีคนไปพบและเข้าใจว่าท่านวิเศษ ความจริงก็น่าจะเห็นว่าท่านวิเศษ เอาอะไรท่านก็ใช้อภิญญาช่วย ผัวหาย เมียหาย เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยได้ ที่จะต้องตายก็บอกก่อนว่าจะต้องตาย ค้าขายไม่ดีก็ช่วยได้ หนักเข้าพวกชาวนครก็เข้าไป

คราวนี้แต่ละวันมีคนไม่ขาด ข้างถ้ำกลายเป็นที่พักคนด้วย สมัยนั้นต้องใช้เดินหรือเกวียน เมื่อมีคนมามากเข้าก็มีงานสังสรรค์มาก ในที่สุดอารมณ์ฌานก็ทรุด คือ ใกล้จะพัง และก็พอดีพบสาวคู่ปรับอายุ ๑๘ ผิวขาวอวบอัด เชื้อเจ๊กผสมจีนมีไทยปน ไปมาหาสู่จากกรุงเทพ ฯ ไม่หยุด เมื่อไปก็ค้างหลาย ๆ คืน ในที่สุดก็คงจะไปวอบ ๆ แวม ๆ เข้ากระมัง ท่านก็เลยแสดงปาฏิหาริย์ขอแต่งงานด้วย คุณหนูไม่ยอมปฏิเสธหรืออิดเอื้อนเลย ท่านบอกว่าไม่มีผ้านุ่งห่ม คุณหนูบอกว่าเตรียมมาให้พร้อมแล้ว เมื่ออุปกรณ์ครบ มีงานทำ ไม่ใช่งานรับจ้างหรืองานราชการ มีงาน มีเมีย เมื่อครบก็ลาสิกขาตามระเบียบ ไม่ใช่แต่งงานก่อนสึก เมื่อสึกแล้วเธอก็พาไปอยู่กรุงเทพ ฯ เมื่ออยู่กับเมียรักที่มีวัยต่างกันประมาณ ๒๐ ปี ด้วยเจ้าสาวอายุ ๑๘ ปี ตัวท่านเองประมาณ ๔๐ ปี อาจมีเศษนิดหน่อยโดยประมาณ เมื่อครบ ๖ เดือน ท่านบอกว่ารู้สึกเบื่อรสสัมผัส พยายามจัดหาเงินด้วยอำนาจฌานที่พอจะรวบรวมได้ คือ ทำให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ เขาก็ให้ค่าน้ำมนต์ ค่าพยากรณ์ เมื่อรวบรวมเงินได้ประมาณหมื่นบาทเศษก็มอบให้เจ้าสาวหมื่นบาท เหลือนอกนั้นขอเอามาทำทุนบวช เจ้าสาวก็อนุญาต ท่านเล่าให้ฟังแล้วก็ขอให้หลวงพ่อปานเป็นเจ้าภาพบวชให้ หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ขัดข้อง จัดการบวชวันรุ่งขึ้นเลย มีท่านพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านบวชแล้วได้ ๗ วัน ก็ไม่ฉันข้าวตามเดิม หลวงพ่อปานบอกว่าเขารวบรวมกำลังฌานของเขาเข้าระดับเดิมได้ตามปกติ เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็อำลา ท่านบอกว่าคราวนี้ที่ไหนมีคน ที่นั่นไม่ยอมอยู่ จะเอาดีให้ได้ อ้ายเนื้อสดที่เขาสนใจกันว่าดี ไม่เห็นมันดีตามเขาว่าเลย เรื่องของท่านก็จบเท่านี้

ลูกหลานคงสงสัยว่า ทำไมท่านที่ทรงอภิญญาขนาดนั้นยังมีอารมณ์แพ้แก่กามคุณ ขอตอบง่าย ๆ ว่า ก็อภิญญาโลกีย์ยังไม่พ้นวิสัยกามคุณจะบังคับบัญชา เผลอเมื่อไรเป็นจอดอย่างท่านองค์ที่กล่าวมา ฉะนั้น เมื่อได้ฌานแล้วท่านที่ไม่ประมาทจึงพยายามเร่งรัดตนเองให้ตัดสังโยชน์ให้ถึง ๕ ให้ได้ ถ้าตัดสังโยชน์ได้ยังไม่ถึง ๕ ข้อ จะทรงอภิญญาขนาดไหน แก่ขนาดไหน ก็ยังมีอารมณ์หอมหวาน ถ้าตัดสังโยชน์ได้ ๕ ข้อแล้วไว้ใจได้ ไปวางไว้ในฝูงกินรียังไม่มีความรู้สึกอะไรเลย การถูกต้องสัมผัสไม่มีอะไรทำให้มีความรู้สึกทางเพศ จับคนก็มีความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับจับซากศพ สังโยชน์ ๕ ข้อมีดังนี้ จะบอกไว้จะได้ไม่สงสัย

๑. สักกายทิฏฐิ เห็นว่าขันธ์ ๕ ( ร่างกาย ) เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย

๒. วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าจะมีจริงหรือ

๓. สีลัพพตปรามาส ไม่รักษาศีลจริงจัง สักแต่ว่าสมาทานส่งเดชตามเขาไปอย่างนั้นเอง เป็นพระเป็นเณรก็สักแต่ว่าเป็น ไม่มีศีลดีตามที่ควร เรียกว่า ลูบคลำศีล

๓ ข้อนี้ ถ้าใครแก้ความรู้สึกให้มีลักษณะตรงข้าม คือ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาที่มีในร่างกาย ไม่เมากาย ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า เห็นจริงด้วยปัญญาที่มองเห็น รักษาศีลบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านเรียกว่า พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี เป็นพระอริยเจ้า ๓ ข้อนี้ พระที่บวชจริง ไม่บวชเล่นและหลอกชาวบ้านทำได้ไม่ยาก อีก ๒ ข้อมีดังนี้

๔. กามราคะ เมาในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสซาบซ่าน

๕. มีอารมณ์โกรธและผูกโกรธไว้ คือ จองล้างจองผลาญเรื่อยไป

ถ้าแก้อารมณ์ให้เห็นด้วยปัญญาว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่น่ารักเพราะมีอสุภสัญญา มีเมตตาแทนความโกรธ เท่านี้อารมณ์เลวก็หายไป หมดรัก หมดกำหนัด มีแต่เมตตาและอุเบกขา เรื่องจะสึกก็หมดไป ไม่มีอะไรยากถ้าบวชกันจริง ๆ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ขอพักตรงนี้นะ วันหน้าฟังใหม่ สวัสดี

วันนี้ตรงกับวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๔ เป็นวันธรรมสวนะ คือ วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย ฉันมีเวลาว่างนิดหน่อย แต่เมื่อว่างจากคุยกับพวกรักษาอุโบสถแล้วเห็นว่าเวลายังไม่ค่ำ พอมีเวลาบ้างก็หาโอกาสคุยกับลูกหลาน จะมีเวลาคุยสัก ๒ - ๓ นาทีก็ตาม ดีกว่าปล่อยให้ชีวิตฉันเปล่าประโยชน์ ไหน ๆ ก็จะตายแล้ว มีอะไรบ้างที่พอจะขยายให้ฟังได้ก็จะขยายให้ฟังเสียให้หมด ที่เกินวิสัยที่จะรับฟังก็ต้องขอสงวนไว้บ้าง แต่ว่าคงไม่มากนักที่จะสงวน ก็เกรงว่าผู้รับฟังจะตกนรก มันเป็นภัยใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้ เอากันแต่ที่เห็นว่าพอรับฟังได้ก็แล้วกัน แต่ทว่าก็ดูเหมือนว่ามันหนักสมองคนและพระสมัยใหม่ไม่น้อยเลย จะอย่างไรก็ตาม จะพยายามให้ฟังตามสัญญา และตามที่เห็นว่าไม่หนักเกินไป

เมื่อวานนี้เล่าเรื่องวัวเขาอ่อน ลูกหลานพอเข้าใจหรือยังว่าวัวเขาอ่อนคือใคร ถ้าไม่เข้าใจก็จะบอกให้เสียเลยว่า เจ้าวัวเขาอ่อนคือลูกสาวเจ๊กหลานจีนคนนั้นเอง มีเขาที่อกและเขาก็ไม่แข็งเหมือนวัวที่ใช้งาน เจ้าเขาอ่อน ๆ อย่างนี้แหละมันขวิดพรานตายมาไม่รู้เท่าไรแล้ว นักบวชที่มีความทะนงคิดว่าฉันมีความรู้มาก มีราชทินนามว่า มหา พระครู เจ้าคุณ ฯลฯ ต้องพ่ายแพ้แม่กระทิงเปลี่ยวมามากต่อมาก บางรายรับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะไม่กี่วันก็ต้องลอกคราบทิ้ง บางท่านเป็นอาจารย์สมถวิปัสสนาก็ต้องถลกหนังทิ้ง เป็นอันว่าวัวเขาอ่อนมีอานุภาพมากกว่าวัวเขาแข็ง ฉันเองสมัยที่เนื้อหนังยังดี หัวไมล้านเหมือนขณะที่กำลังพูดอยู่นี่ เคยพบวัวเขาอ่อนตั้งท่าจะขวิดหลายที แต่ฉันเคยปราบวัวประเภทนี้มามากสมัยที่กำลังเมามัน ยังขวิดฉันไม่อยู่เลย เมื่อมาสวมเขี้ยวแก้วเข้าแล้วจะขวิดกันอย่างไร เมื่อตั้งท่ามาฉันสำรากเสียไม่กี่คำพากันวิ่งอู้เข้าคอกไป แต่ไม่เคยประมาท ต้องลับศรจ่อหลังวัวไว้เสมอ ศรศิลป์ที่พอจะรบกับวัวพวกนี้ได้ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่พระที่บวชทุกองค์ก็คือ อสุภกรรมฐาน กายคตานุสสติกรรมฐาน มรณานุสสติกรรมฐาน และเพิ่มวิปัสสนาอีกนิดก็ได้ แก้สักกายทิฏฐิภาวนา มีไว้เท่านี้ และไม่ลืมลับไม่ลืมเล็งศรให้ตรงเป้าหมาย ไปนอนในคอกวัว วัวก็ไม่กล้าแสดงเดชเลย แม้แต่เบิ่งก็ไม่มี รู้จักคำว่าเบิ่งไหม เป็นภาษาชาวบ้านใช้กับวัวควาย เห็นจะติดมากับภาษาต้นตระกูล ฉะนั้น เบิ่ง คำนี้จึงแปลว่า ดู คือ ดูอย่างจะทำลายหรือลอกหนัง ท่านองค์นั้นท่านเล่นอภิญญา คือ กสิณ เพลินไป เรื่องของกสิณมีอานุภาพมากจริง แต่ไม่ได้มองหาความจริงจากร่างกาย มุ่งเล่นฤทธิ์เดชเดชาศักดานุภาพเกินไป เข้าทำนองนักมวยที่เก่งบนเวที คอยแต่จะหาทางปราบศัตรูในด้านชก แต่ลืมพิจารณาเสียงที่ประโลมใจ เมื่อไม่ระวังศัตรูมาแนวใหม่ แทนที่จะชวนชกกลับเอาสตรีรูปงาม เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสสัมผัสนิ่มนวล โดนเช้าแบบนี้ตายทุกราย

ท่านมหาเถระผู้ใดก็ตาม เมื่อบวชแล้วไม่ได้ใช้ศรศิลป์ของพระพุทธเจ้ากี่รายก็ตาม โดนแม่วัวขวิดเมื่อไรก็หงายท้องเมื่อนั้น ถ้าเธอไม่มีอานุภาพจริง คงไม่มีข่าวพระทรงสมณศักดิ์สึก แต่สมัยน้ข่าวพระทรงสมณศักดิ์มีข่าวสึกทุกปี เห็นจะเป็นเรื่องวัวเขาอ่อนนี่กระมัง ช่วยกันสืบสวนทวนควาให้ดีด้วย ถ้าสึกแล้วท่านไปอยู่คนเดียวไม่แต่งงานก็แสดงว่าท่านสึกเพราะหิวข้าวตอนเวลาเย็น ถ้าสึกแล้วแต่งงานก็แสดงว่าท่านหิวคน คือ วัวเขาอ่อน เรื่องพระสึกจะโทษวัวเขาอ่อนเกินไปก็ไม่ได้ บางรายวัวไม่ไปอาละวาด ท่านเองก็วิ่งไปให้วัวขวิดเสียไม่น้อย เป็นว่าพอกัน วัวก็ร้าย ควายก็เลว ไม่รู้จักฐานะของตัว นักบวชแบบนี้เมื่อยังไม่สึกท่าทางดี มีอาการสำรวมน่ารัก เพราะต้องปกปิดกลิ่นชั่ว สีหมอง

ไม่เหมือนพระอริยเจ้า ไม่เห็นท่านปิดชั่ว ตรงกันข้าม มักจะทำให้ชาวบ้านเห็นว่าชั่ว คือ ไม่ค่อยจะสำรวม ถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า เราสบายแล้ว ไม่อยากทำตนให้ลำบาก เมื่อเขาไม่ชอบเราที่ไม่สำรวม เขาก็ไม่มากวนเรา ๆ ก็สบาย เราไม่บรรลุเพราะสำรวมหลอกลวง เราได้ผลเพราะอาการเปิด เมื่อเปิดดีกว่าปิด ผลปรากฏเพราะเปิด เมื่อมีผลแล้วเราจะปิดทำไม มีเลวเท่าไรงัดออกอวดให้หมด ชาวบ้านจะได้เห็นจริง เขาจะเอาเลวจากเราคือ ปฏิปทา หรือเอาดีจากธรรมก็ตามใจชาวบ้าน เราหมดหนี้แล้ว จะต้องหาหนี้มาชำระอีกหรือ ท่านหมายว่าท่านสบายแล้วจะต้องไปเอาใจชาวบ้านด้วยทำท่าสำรวมให้เขาเห็นว่าเคร่งเขาจะได้ไปมาหาสู่ อาการอย่างนั้นเป็นอาการของทาสกิเลสตัณหา ท่านพวกนี้ไม่ยอมก้มหัวให้แน่

ในชีวิตฉันเคยพบพระอริยะหลายแบบ บางแบบก็ทำตนเหมือนคนบ้า เที่ยวได้เดินกลางทุ่งกลางนา นอนกลางดินกินกลางทุ่ง บางรายก็ทำท่าสงบเสงี่ยมเสียจนน่าเกลียดเกินพอดี เมื่อทักท้วงเข้าก็ออกฤทธิ์ทางปากว่ามันเรื่องของข้า ชาวบ้านไม่ต้องเสือก ปล่อยลายเสืออกมาให้ปรากฏ ใครว่าก็ทำหูทวนลมหรือหูกระทะเสีย หูกระทะฟังอะไรไม่ได้ยิน เพราะไม่ได้มีไว้ฟัง มีไว้ถือหรือแขวน มีหลายรายที่เมื่อไปถึงท่านจัดแจงสถานที่พักไว้ให้เรียบร้อย แต่พอถามธรรมเข้าทำท่าเหมือนตาวัวตาควาย พูดแบบคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มี บางรายก็ออกแบบเหมือนคนปากคลองสานเฉพาะในเขตหลังคาแดง นุ่งผ้าผืนเดียวลอยชายพูดกับหมูกับหมาเพลิน พอพวกเราเข้าไปหาก็ทำท่าเอะอะโวยวาย ไวม่รู้เรื่องรู้ราว ดีไม่ดีด่าพ่อล่อแม่เสียเต็มอัตราศึก เมื่อพวกเรานิ่งและเห็นท่าว่าเหนื่อย พวกเราก็พูดกันเองว่า อ้ายคนไม่บ้ามันทำบ้าอย่างนี้ควรให้กิเลสตัณหาถลกหนังหัวเสียใหม่ พอเห็นว่ารู้ทันบางรายลงนั่งขอขมา บางรายหัวเราะลั่นฟ้าชอบใจ แล้วตอบว่า เมื่อรู้แล้วมากวนกันทำไมเพื่อน ท่านที่ทำแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นพระทรงวิชชา ๓ หรือ อภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ สำหรับพระทรงวิชชา ๓ ถ้าไม่เก่งจริง ๆ ไม่ค่อยออกฤทธิ์นัก แต่ก็เอาพระวินัยเป็นใหญ่ ระเบียบใหม่ ๆ ที่พวกกิเลสหนาออกกฎไม่สู้สนใจนัก และมีการระมัดระวังตัว คือ ไม่ใคร่อยากพูดกับคนที่ไม่ควรเปิด ท่านถือว่าท่านสบายแล้ว จะอย่างไรก็ช่าง เมื่อรับฉันให้ แต่ถ้าอวดดี เมื่อเห็นว่ามีดีแล้วก็เลยไม่ให้อะไรเลย แม้แต่ว่าเขาจะมีดีผิด ๆ ก็ตาม ถ้ารู้ตัวว่าดี ท่านพวกนี้ปล่อยให้ดีไปตามอารมณ์ ไม่ใช่ท่านจะไม่เมตตา ที่ทำอย่างนั้นเพราะท่านเมตตา ด้วยคนที่มีกิเลสหนาเมื่อเห็นตัวว่าดีก็มักไม่ฟังเหตุผลของใคร ต้องปล่อยให้หมดดีจึงจะฟังเสียงคนตักเตือน สำหรับท่านสุกขวิปัสสโก ท่านพวกนี้ไม่มีฤทธิ์ เพราะท่านไม่มีอะไรพิเศษ ท่านคงรักษาอารมณ์และอาการตามปกติ ส่วนท่าน ๒ พวกคือ ฉฬภิญโญกับปฏิสัมภิทัปปัตโต ฤทธิ์แสดงออกนอกรีตนอกรอยมากเหลือเกิน พบท่านยาก ต้องยี่ห้อคล้ายคลึงกันก็พบไม่ยากเหมือนกัน เพราะเมาเท่า ๆ กัน เมื่อพบแล้วหมดฤทธิ์แล้วก็จะพบฤทธิ์พระธรรมที่หวานสดชื่นบอกไม่ถูกเลย ท่านพูดให้ฟัง ดูเหมือนเราจะบรรลุไปด้วย

ลูกหลานที่รัก ฉันฟุ้งเลยธงไปอีกแล้วตามแบบฉบับของฤาษีหัวล้าน และมีเผ่าพันธุ์ลิงเป็นสรณะ จะคุยต่อไปเรื่องของธุดงค์ เมื่อออกจากสำนักท่านวัวเขาอ่อนแล้วก็มุ่งเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ ที่เขาวงพระจันทร์นี้มีเรื่องประกอบหลายรายการ จะเล่าแต่ย่อ ๆ เรื่องแรกก็คือนางสาวพระจันทร์เป็นลูกสาวท้าวกกขนากที่พระรามแผลงศรทำด้วยอะไรไม่ทราบปักอกนอนอยู่ในถ้ำ นางสาวพระจันทร์หรือชีจันทร์ก็ไม่ทราบ เธอเป็นลูกสาว ทอผ้าคอยถวายพระศรีอาริย์ อายุแกมากแล้ว ตั้งแต่สมัยพระรามรบยักษ์ มันเมื่อไรฉันก็ไม่รู้ ถ้าเป็นสาวก็คงสาวแก่เต็มทน ความเป็นสาวมิยานโทกเทกไปหมดเสียแล้วก็ไม่รู้ เมื่อเขาว่าอย่างนั้นก็ว่าไป พอถึงที่ตั้งวัดเขาสะพานนาค เดิมไม่มีวัด หลวงพ่อปานท่านมาสร้างไว้ เพราะคนจะเข้าเขตเขาวงพระจันทร์ต้องเข้าทางนี้ ท่านจึงบัญชาการให้นายห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่าเตียน พระนคร คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ออกทุนสองหมื่นบาทสร้างกุฎี หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญเสร็จ แถมเริ่มอุโบสถเข้าไปเกือบเสร็จ ตอนนั้นฉันก็ไปเป็นช่างแบกช่างยกกับเขาเหมือนกัน แบกไม้ขึ้นหลังคา ช่างที่ทำส่วนใหญ่เป็นพระวัดบางนมโค บางท่านเกือบจะมาเป็นเจ้าของตลาดหนองเต่าเสียก็มี เพราะถ้าต้องการอาหารต้องเดินมาซื้อที่ตลาดหนองเต่า หรือจะเดินทางมาเดินทางกลับต้องเดินไปขึ้นรถที่สถานีหนองเต่า เมื่อไปมาหลายวาระเข้าก็เจอวัวเขาอ่อนเข้า วัวก็ร้ายควายก็แรงมันก็ต้องขวิดกัน ใครจะสู้ใครได้ เขาไม่ตั้งให้เป็นกรรมการเลยไม่ทราบว่าใครแพ้ใครชนะ วัวที่มีกำลังส่วนใหญ่เป็นวัวพันธุ์เมืองจีน


( วัดกระทุ่มเสือปลา เขตประเวศ กทม. )

ขั้นแรกหลวงพ่อท่านตั้งใจจะสร้างเป็นศาลาที่พักคนเดินทาง ด้วยคนมาเขาวงพระจันทร์เมื่อถึงตรงนี้ (วัดเขาสะพานนาค) ต่างก็หยุดพัก ท่านจึงสร้างศาลาหลังเดียวก่อน และต่อมาสร้างเป็นวัด เพียง ๒ ปี ก็มีสถานที่สมบูรณ์ ด้วยช่างหาง่าย ช่างท่านใดถูกขวิดก็ไปเก็บซากมาทำงานตามเดิมที่ทนทานวัวขวิดไม่ไหว มีหลายรายที่ต้มวัวเสียสุก คือ บอกว่าถ้าวัดเสร็จก็จะตกลงขึ้นเวทีขวิดกันเป็นทางการ แม่วัวตัวสวยตกหลุมพรางส่งข้าวส่งน้ำ พองานเสร็จงวดคือไม่เสร็จหมด หลวงพ่อท่านก็เปลี่ยนช่าง เจ้าควายเลยไปไม่กลับ พวกรุ่นใหม่มาก็รับฟ้องจากแม่วัว ว่าแล้วก็โอ๋กันต่อไป เมื่อได้รุ่นแรกฉันก็ต้องจัดการกับรุ่นนี้ให้ได้ ข่าวนี้เข้าหูบ่อย ๆ บางรายก็ได้จริง ๆ แต่บางรายก็เสียเหยื่อเป็นวาระที่ ๒ ที่ ๓ เพราะเจ้าควายไม่ยอมสู้ ยิ่งพวกควายที่สงบเสงี่ยม เขาคิดว่าเขามาทำบุญไม่สุงสิงสนใจ แม่วัวตัวร้ายก็ยิ่งสนใจเป็นพิเศษ เป็นเรื่องของกิเลสเป็นเรื่องธรรมดา

หน้าที่ผ่านมาหน้าต่อไปCopyright © 2001 by
Amine
พิมพ์โดย Amine28 ต.ค. 2545 10:29:02