ประวัติหลวงพ่อปาน
( พระครูวิหารกิจจานุการ ) วัดบางนมโค

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30

***ไหว้พระพุทธบาท***

วันนี้วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ วันนี้ฉันไม่ได้นอนฝัน คงไม่เสียเวลาเล่าเรื่องของหลวงพ่อปานตามที่ลูกหลานอยากรู้เรื่อง มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อย่ามัวเล่นสำนวนกันเลย ฉันเป็นคนแก่ใจร้อน ด้วยทราบว่าเวลาตายใกล้เข้ามาเต็มที มีอะไรพอระบายได้ก็จะรีบระบาย ที่เกินวิสัยพูดเพราะถ้าพูดไปลูกหลานจะลงนรกก็จะงดไม่พูด เพื่อความสุขของลูกหลาน เมื่อหลวงพ่อปานและคณะของท่านมีใครบ้าง ไม่บอกให้ทราบ เพราะเรื่องข้างหน้าหนัก คนที่ร่วมทางยังไม่ตายก็มี จะสร้างความหนักใจให้ท่าน เมื่ออำลาคณะท่านสาธุชนผู้ทรงความดีมีเมตตาแด่พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่พระสงฆ์ที่ธุดงค์ปลอม แล้วท่านก็มุ่งเข้าเขตพระพุทธบาท ทางของพระธุดงค์ที่ผ่านเข้าพระพุทธบาทสมัยนั้นไม่มีทางรถ ใช้ทางเกวียนหรือทางเดินเท้าของชาวบ้าน เรื่องทางของดเพราะไม่มีความสำคัญ เมื่อเข้าพระพุทธบาทแล้วต่างก็นมัสการตามปกติของนักบุญ เวลาที่เข้านมัสการไม่ตรงกับเทศกาลนมัสการพระพุทธบาท ทั้งนี้หลวงพ่อท่านให้ความเห็นว่า การมานมัสการในงานเทศกาลคนแย่งกันไหว้ อารมณ์ตั้งมั่นน้อย มาไหว้แบบนี้เงียบสงัด อารมณ์เยือกเย็น มีปีติโสมนัสดีกว่าไหว้ในงานเทศกาลมาก เมื่อเวลายังไม่ใกล้ค่ำเหลือเวลามาก ท่านก็คุยเรื่องพระพุทธบาทให้คณะที่ร่วมทางไปด้วยฟัง ท่านว่าประวัติที่เขาเขียนจะเขียนว่าอย่างไรอย่าคำนึงถึง ทุกองค์จงใช้หลักวิชชา ๓ ใช้ให้เป็นประโยชน์ คำว่า วิชชา ๓ หมายถึง อภิญญาเล็ก คือ มีทิพยจักษุญาณและปุพเพนิวาสนุสสติญาณ สำหรับทิพยจักษุญาณมีผลงานขยายออก มีชื่อต่าง ๆ ดังนี้

ทิพยจักษุญาณ เป็นญาณแม่บท ญาณที่มีผลจากทิพยจักษุญาณ คือ ทำทิพยจักษุญาณได้อย่างเดียว ญาณต่าง ๆ เหล่านี้ ติดตามมา คือ

ก. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน คนและสัตว์ที่เกิดมาจากนรก สวรรค์ หรือมาจากพรหม

ข. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์คนและสัตว์ตามความรู้สึกของอารมณ์

ค. อตีตังสญาณ รู้เรื่องที่ล่วงมาแล้วกี่ชาติก็ได้

ฆ. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องที่จะมีต่อไปกี่ชาติก็ได้

ง. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องในปัจจุบันว่า คน สัตว์ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย กำลังทำอะไรอยู่ สบายหรือมีทุกข์

จ. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลของความสุข ความทุกข์ของคน สัตว์ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่มีสุขมีทุกข์อยู่ในปัจจุบัน เพราะความดีความชั่วอะไรให้ผล ความดีหรือความชั่วในอดีตหรือปัจจุบันให้ผล

ฉ. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่ล่วงมาแล้วได้

ตามที่พูดมานี้เพียงสองในวิชชา ๓ เท่านั้น ส่วนอีกข้อหนึ่ง คือ อาสวักขยญาณ การทำกิเลสให้สิ้นไป ยังไม่ใช้ในเวลานี้ หมายถึง เวลาที่ท่านไปธุดงค์กัน เข้าใจว่าขณะไปธุดงค์ยังคงไม่มีใครบรรลุอรหันต์ แต่คณะที่ร่วมทางคงทรงญาณตามที่กล่าวมาแล้วคล่องตัวทุกองค์ เมื่อท่านบอกว่าทุกองค์จงอย่าอาศัยประวัติ เพราะคนเขียนประวัติเอาแน่นักไม่ได้ เพราะเขียนตามความคิดว่าอาจจะเป็นตามนั้นก็ได้ ให้ใช้ญาณที่มีตามลำพัง อารมณ์จะได้ไม่เกาะอุปาทาน ท่านให้เวลาคนละ ๓ นาที แล้วต่างคนต่างให้เขียนตอบท่านว่ามีอะไรสำคัญ ท่านทำแบบนี้เป็นการซักซ้อมคณะของท่านให้คล่องในการใช้ญาณ ทุกองค์เมื่อรับบัญชาไม่มีใครกล้าหลับตา ด้วยเขาคล่องทั้งลืมตาและหลับตา ลืมตาดูเหมือนจะคล่องกว่าหลับตาเสียอีก ต่างก็หยิบกระดาษที่ติดตัวไปออกมาเขียนตรงกันว่า ที่นี่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาจริง นอกจากมีรอยพระพุทธบาทที่ไม่ปลอมซ่อนอยู่ใต้รอยพระพุทธบาทเทียมที่ท่านสร้างคลุมของเก่าไว้แล้ว ยังมีพระบรมสารีริกธาติที่พระอรหันต์ท่านนำมาบรรจุไว้อีก ๓ องค์ เมื่อทุกองค์ส่งหนังสือถวายท่าน ๆ อ่านแล้วก็ยิ้ม กล่าวว่า พวกเธอพอใช้ได้ แต่ยังไม่ดีแท้ เอาเท่านี้พอคุ้มตัวได้ คืนนี้มาพิสูจน์ความจริงกัน ที่พวกเธอว่ามีพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุมีที่ไหนต้องมีปาฏิหาริย์ที่นั่น


( พระพุทธบาทที่เกาะแก้วพิศดาร จ.ภูเก็ต )

เอาละซี ท่านเกิดจะซ้อมความสามารถของญาณด้วยการพิสูจน์ปาฏิหาริย์ ทุกคนใจระทึกอยากเห็นพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ หลวงพ่อท่านกำชับว่าอย่ามีอารมณ์อยากจนเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ คือ อารมณ์ฟุ้งเกินพอดี จิตไม่เป็นสมาธิ พระท่านจะไม่โปรด จงรักษาอารมณ์ให้สงบเป็นปกติ ดำรงฌานเป็นปกติ มีอารมณ์วิปัสสนาเป็นอารมณ์ หวังพระนิพพานเป็นที่ไป ชีวิตเธอและฉันอาจจะตายก่อนแสงจันทร์ที่มองเห็นในค่ำวันนี้ก็ได้ เรามีอันตรายรอบตัว อันตรายจากสัตว์ร้าย อันตรายจากคนพาล และอันตรายจากลมปราณที่มันอาจจะเกิดหยุดหมุนเวียนเสียเมื่อไรก็ได้ เมื่อมันหยุดเราก็ตาย ตายแล้วจะไปไหน ถ้ามีอารมณ์ฟุ้งซ่านอาจไปอบายภูมิได้ ควรรักษาสมาธิ มีเมตตา และอารมณ์วิปัสสนาที่ไม่มีอารมณ์เกาะ ปล่อยชีวิต ปล่อยทรัพย์สิน ปล่อยญาติ พวกพ้อง บิดามารดา คิดว่าเราไม่มีอะไร แม้แต่ร่างกายมันก็กำลังจะพัง โลกนี้เป็นทุกข์ เทวโลก พรหมโลกก็ไม่สิ้นทุกข์ พระนิพพานเท่านั้นจะทำให้สิ้นทุกข์ ปลดเสียให้หมด อยู่อย่างคนมีความสุข เรื่องปาฏิหาริย์ของพระบรมธาตุเป็นภาระของฉัน พวกเธอยังมีกำลังอ่อน เชิญท่านอาจะไม่ปรากฏ ขอให้เธอจงปล่อยให้เป็นภาระของฉัน โน่นต้นไม้ใบไม้ที่กำลังร่วงโรยหรือสดใส จงไปพิจารณาให้เป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาไม่ใช่เกาะแต่ตำรา จงหาของจริงมาใคร่ครวญ วิปัสสนาท่านให้ดูของจริง ไม่ใช่มัวถ่างตาดูแต่ตำราแล้วก็ติดตำราแจ ของจริงไม่ใช้จะได้อะไรเป็นที่พึ่ง ท่านว่าแล้วท่านก็ขับคณะของท่านให้หาที่พักตามสบาย ต่างคนต่างอยู่ ห้ามรวมกันตั้งแต่ ๒ องค์ขึ้นไป

ตอนนี้หลาน ๆ แปลกใจไหม ทำไมหลวงพ่อท่านเตือนพระของท่านอย่างนั้น ที่เตือนไม่ให้คำนึงถึงพระบรมธาตุ เพราะอารมณ์อยากเป็นนิวรณ์ที่กั้นความดี คือ ตัวทำลายสมาธิ อยากดีอยากชั่วก็ช่างเถอะ ต้องหยุดอยาก ถ้าขืนอยากอารมณ์ก็ฟุ้งหาอารมณ์สงัดไม่ได้ แล้วท่านสอนให้มีอารมณ์เมตตา มีวิปัสสนา ลูกและหลานคงจะเห็นว่า มีอารมณ์คราวเดียวหลายอย่างพร้อมกันเหมือนพ่อครัวหุงข้าว เราต้องการผลคือข้าวที่สุกแล้ว แต่ขณะหุงต้องมีเตา มีเชื้อเพลิง มีเพลิง มีหม้อ มีน้ำ มีอุปกรณ์สำหรับเช็ดน้ำ มันต้องมีพร้อมกันจึงจะมีข้าวสุกได้ จะมีอะไรลำบากสำหรับพ่อครัวถ้าได้รับคำสั่งให้หุงข้าว ด้วยอุปกรณ์มีครบแล้ว และคล่องในการหุงดีแล้ว เรื่องพระคระของหลวงพ่อก็เหมือนกัน ท่านทำจนไม่มีความรู้สึกหนัก จะมีอะไรลำบากลูกและหลานที่นั่งรับฟัง ถ้าอยากดีตามนี้ก็ลองดูบ้างก็ดี ไม่เสียผลประโยชน์ แต่อย่าหวังผลเร็วนักนะจะเสียเรื่อง เอาผลอะไรไม่ได้ ทำไปด้วยความเต็มใจ เชื่อผล ทำตามที่ท่านแนะนำ ความดีที่เป็นความดีไม่ใช่ดีปลอม จะเข้าถึงอย่างไม่มีอะไรหนัก และคงจะแปลกใจที่ท่านไม่สอนวิชาทำพระ ทำตะกรุดแจกเวลาไปธุดงค์ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นกิเลส พระธุดงค์ท่านตัดแล้ว ท่านไปเอาดีกัน ท่านไม่เอาเลวกัน แต่สมัยนี้ท่านคงพากันคิดว่า ถ้าได้ทรัพย์ได้ของมีค่า มีคนรับปวารณาเวลาธุดงค์เป็นของดีกระมัง จึงเห็นธุดงค์แบบมอญแปลงมากเหลือเกิน พระอุปัชฌาย์ควรเตือนสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเสียบ้าง อย่าทำตนเป็นเต่าใหญ่ไข่กลบ ไม่เหลียวแลพระของตนบ้างเลย จะกลายเป็นต้นตอทำลายความดีของพระพุทธศาสนาไป

---ปาฏิหาริย์พระบรมธาตุ---

เมื่อเวลาใกล้ค่ำ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข ต่างก็หาที่ปักกลดตามที่ตนเห็นสมควร เมื่อปักกลดเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์ตามระเบียบของพระที่เดินไปหาที่ตายเพราะอยู่วัดสบายก่วา ท่านเดินไปกันอย่างชนิดไม่ทราบว่าอาหารมื้อหน้าหรือมื้อนี้จะมีที่ไหน ไม่มีใครสนใจเรื่องอาหาร เพราะคิดว่าตายเดี๋ยวนี้ไปนิพพานเดี๋ยวนี้ ไปนิพพานดีกว่าอยู่เป็นพระกินข้าว เมื่ออารมณ์ทุกท่านเป็นอย่างนี้ นอกจากหลวงพ่อปานท่านปรารถนาพระโพธิญาณอย่างเดียว แต่ท่านก็มีชั้นดุสิตเป็นที่ไปเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว สมัยก่อนท่านสอนไปนิพพานช้า ไม่ใช่โตแล้วเรียนลัด แต่ท่านหวังผลแน่นอน ถ้ามีอารมณ์ถึงสวรรค์ชั้นกามาวจร ท่านก็สอนให้ไปชั้นที่ตัวมีวาสนาถึงเป็นประจำวันเพื่ออารมณ์จะได้ผูกพัน เมื่อตายอารมณ์จะแจ่มใส มีที่ไปแน่นอน หรือท่านองค์ใดไปพรหมตามกำลังฌานได้ ท่านก็ไปของท่านเป็นประจำ พวกที่เบื่อสวรรค์กามาวจรหรือพรหม มีอารมณ์ถึงพระนิพพาน ถ้าได้มโนมยิทธิต่างก็ไปนอนนิพพานเป็นปกติ ตอนนี้พวกนักธรรมอาจจะสงสัยว่านิพพานนี่สูญนี่เจ้าประคุณ ไปนอนกันได้อย่างไร เอาอย่างนี้นะ ขอตอบแบบนักเทศน์ก่อน เพราะนักธรรมเป็นพวกนักเทศน์ เมื่อนิพพานสูญเรามีอารมณ์ถึงนิพพานได้และได้มโนมยิทธิ เราก็ไปนอนมันที่สูญตามที่เราเข้าใจ มันจะสูญแบบหมดไปเหมือนกระดาษเผาไฟหรือสูญจากอำนาจกิเลสตัณหาก็ตามใจเถิด นอนมันตรงนั้นแหละ ทีนี้ถ้าตอบอย่างนักปฏิบัติตามลำดับคำสอนก็ไม่มีอะไรยาก เราไปสวรรค์ได้ไปพรหมได้ ทำไมจะไปนิพพานไม่ได้ ถ้าอารมณ์เราละเอียดพอที่จะเข้านิพพานได้ ถ้าสงสัยเชิญทำให้ถึงจะหมดสงสัยเอง นักปฏิบัติต้องค้นคว้าด้วยการทำจริง ไม่ควรยึดอุปาทานที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นหลัก ถ้าคิดอย่างนั้นไม่มีทางถึงอะไรเลย

คุยฟุ้งไปเสียนาน ลูกหลานคงอยากจะฟังเรื่องพระบรมธาตุแสดงปาฏิหาริย์กันแย่แล้ว ฉันมันคนแก่ ลงได้บ่นอะไรแล้วก็มักจะบ่นเลอะเทอะเสมอ พวกลูกหลานจงจำไว้เมื่อเวลาที่เธอแก่ลงมากแล้ว อย่างไหนที่ฉันทำไว้หรือคนแก่คนอื่นทำไว้เห็นว่าไม่ดีจงอย่าลอกแบบไปทำ จงเป็นคนแก่ที่ทรงอารมณ์ปกติ ดีกว่าเป็นคนแก่ขี้บ่นอย่างฉัน ฉันคงรักพระพุทธศาสนามากไปกระมัง เรื่องของฉันเองไม่ใคร่บ่น แต่เห็นใครทำให้พระศาสนาผันแปรฉันอดบ่นไม่ได้ ถ้ารำคาญจงคิดว่าเราฟังเสียงลิงของหลวงพ่อบ่นให้ฟังก็แล้วกัน และจงภูมิใจที่ฟังเสียงสัตว์ดิรัจฉานรู้เรื่อง คงจะโก้กว่าคิดว่าฟังเสียงตาแก่บ่น


( พระบรมธาตุจากพม่า )

เมื่อยามค่ำมาถึงเวลาประมาณ ๒๐ น. อากาศกำลังสบาย ท่านเรียกพระเข้าประชุมให้ทุกองค์ทรงพุทธานุสสติกรรมฐานจนจบอารมณ์ทรงฌานตามความพอใจของท่าน ท่านตรวจของท่านรู้ ไม่ต้องมานั่งถามให้ลูกศิษย์โกหกอาจารย์ เมื่อท่านพอใจแล้วท่านสั่งให้ทุกคนถอนออกจากฌาน ตั้งอารมณ์อยู่อุปจารสมาธิ เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของพระชุดนั้น เมื่อทุกองค์ทรงอุปจารสมาธิพร้อมแล้ว ท่านเปล่งวาจาดัง ๆ ว่า ด้วยข้าฯ เคยบำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ถ้าการบำเพ็ญบารมีนี้จะเป็นปัจจัยให้ข้าฯ ได้บรรลุพระโพธิญาณในอนาคตแล้ว ขอสมเด็จองค์พระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดแสดงปาฏิหาริย์ให้เป็นมหัศจรรย์ จะเป็นปาฏิหาริย์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตามแต่พระพุทธองค์จะทรงเมตตา เพื่อปลูกฝังศรัทธาของพระที่ร่วมเดินทางมา ณ บัดนี้เถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วท่านก็เข้าสมาธิ บรรดาลิงหน้าพลับพลาทั้งหลายก็เข้าสมาธิบ้าง เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่าพยายามขี้ตามช้าง เมื่อเห็นช้างขี้ลิงก็ขี้บ้าง แต่ทว่าจะขี้ก้อนเท่าช้างหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้ขี้อย่างช้างได้ก็แล้วกัน เมื่อต่างคนต่างขี้ตามช้าง เวลาผ่านไปไม่ถึง ๒ นาทีก็ปรากฏเป็นดวงดาวดวงใหญ่ ประมาณว่าผ่าศูนย์กลางสัก ๒๐๐ เซนต์กว่า ใหญ่เหลือเกิน ขึ้นมาจากยอดเขาที่พระพุทธบาท มี ๓ ดวงด้วยกัน มีแสงสว่างมาก หลวงพ่อปานมีคำสั่งให้บรรดาลิงหน้าพลับพลาทั้งหลายลืมตาชมพระพุทธบารมี ดวงดาวดวงนั้นตั้งอยู่ที่ยอดเขานานประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ลอยวนรอบเขา ๓ รอบ แล้วมาตั้งอยู่ที่พระพุทธบาทนานประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่เดิมอย่างช้า ๆ หลวงพ่อปานท่านกราบ พวกลิงหน้าพลับพลาก็กราบ กราบด้วยอารมณ์ปีติชุ่มชื่น เมื่อดวงดาวหายเข้าที่เดิมหลวงพ่อสั่งเจริญพุทธานุสสติตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

ลูกหลานทั้งหลาย พระที่ไปคราวนั้นแต่ละท่านบอกว่าเกิดธรรมปีติบอกไม่ถูก ตลอดคืนไม่มีใครหลับ อารมณ์โพลงตลอดคืน อารมณ์สมถะและภาวนาแจ่มใสกว่าที่เคยทำมาแล้วหลายเท่า เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างไม่มีอะไรสงสัย เชื่อมั่นในหลวงพ่อปานว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีแก่กล้าจริง ความเชื่อ ๒ ประการนี้เป็นผลใหญ่ ทำให้ไม่มีใครหลับ เมื่อไม่หลับก็ต้องออกเที่ยวเป็นการสร้างความเพลิดเพลินให้แก่อารมณ์ การเที่ยวไม่ได้เที่ยวป่า ด้วยเกรงว่าเสือจะอ้วนเร็วเกินไป สถานที่เที่ยวก็คือกามาวจรทุกชั้น พรหมโลกทุกชั้น และไปหยุดเอาที่นิพพานที่พวกนักธรรมว่าสูญ ไปไหนมีเจ้าถิ่นต้อนรับด้วยดีอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แจ่มใส ร่างที่ออกไปใสกว่าเดิมหลายเท่า เรื่องคบอาจารย์ชั้นจานแก้วนี่ดีนัก ดีกว่าคบจานถ้วยเพราะแตกง่าย จานกะละมังก็มีกระเทาะ จาน ๒ อย่างความสวยสดสะอาดน้อยกว่าจานแก้ว จานแก้วสะอาดกว่ามาก ศักดิ์ศรีก็ดีกว่าเยอะ อาจารย์ผู้สอนธรรมก็เหมือนกัน ถ้าไปพบจานกะละมังหรือจานถ้วยก็แย่หน่อย พบจานแก้วก็บุญตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ช่วยอะไรใครไม่ได้ พระชุดนั้นท่านมีบุญ ท่านพบจานแก้วท่านก็เลยเป็นแก้วไปด้วย แต่ละท่านต่างเอาตัวรอดได้ไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้หมดเท่านี้ วันนี้พักเท่านี้นะเพราะฉันมีงานมาก ต้องมีภาระเป็นพ่อบ้านเอง ขอพักไปทำงานอื่นก่อน วันพรุ่งนี้ถ้ามีเวลาจะเล่าให้ฟังใหม่ แต่ไม่แน่นัก ด้วยพวกศาลไม่ใช่ศาลเจ้าเป็นศาลตัดสิน เขาว่าเขาจะมาหา ถ้าเขามาก็คงไม่มีเวลาคุย ถ้าเขาไม่มาจะเล่าเรื่องพระพุทธฉายให้ฟัง มีปาฏิหาริย์เหมือนกัน ที่แปลกออกไปก็คือ พระเขียนที่ร่วมเดินทางไปด้วยเกือบเสียทียักษ์ เ อาไว้รู้กันวันหน้า วันนี้เหลืออีก ๑๕ นาทีจะเข้า ๑๑ น. จะพักฉันเพล และทำงานอื่น ขอลูกหลานทุกคนที่รับฟังจงทรงตัวอยู่ในความดีโดยธรรมรวมทั่วกันเถิด

---นมัสการพระพุทธฉาย---

เมื่อคณะธุดงค์ทั้งห้า มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข นมัสการพระพุทธฉาย และอยู่ในบริเวณนั้นรวม ๒ วัน เมื่อมีความอิ่มในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอสมควรแก่ความประสงค์แล้ว ปูชนียสถานที่คณะธุดงค์ทั้งห้าต้องการนมัสการอีกก็คือ พระพุทธฉาย เขตสระบุรีเหมือนกัน แต่ต้องเดินทางไปทางตะวันออก และล่องใต้นิดหน่อย เรื่องทางที่จะไปเป็นภาระของหลวงพ่อปาน เมื่อก่อนออกเดินทางต่างก็เจริญพุทธานุสสติเพื่อเป็นการถวายความเคารพในพระพุทธเจ้า จนเข้าอยู่ในระดับฌานสูงสุดเท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ แล้วถอยสมาธิออกจากฌานมาตั้งอยู่ในอารมณ์สมาธิขั้นอุปจารสมาธิ่ พิจารณาวิปัสสนาญาณเต็มระดับ คือ ปล่อยหมด เห็นว่าโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก ไม่มีอะไรน่ารักน่าพอใจ มีอารมณ์ยึดพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง เมื่ออารมณ์ละเอียดปลดได้ตามความพอใจแล้วก็เข้าฌาน ๔ ในสมถะใหม่ ทำให้ฌานกลายเป็นผลสมาบัติไป เมื่อความอิ่มในพระพุทธบารมีเต็มตามความพอใจแล้ว ทุกท่านก็นมัสการอีกวาระหนึ่ง ทำวัตรขอขมาโทษหากจะพึงมีการพลั้งพลาดเพราะประมาทหรือด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถ้าหากจะพึงมี เป็นการป้องกันความผิดไว้ก่อน แล้วแต่ละท่านก็ออกเดินทางไปพระพุทธฉาย การเดินทางรอนแรมจากพระพุทธบาทไปพระพุทธฉายระยะทางไม่ไกลนัก แต่คณะธุดงค์ชุดนี้ก็เดินทางอย่างพระธุดงค์ ไม่ใช่เดินดงคือค่อยไป เดินประมาณวันละ ๕ กิโลเมตร ไปตามสบาย พักตามสบาย เพราะสมัยนั้นไม่มีอะไรไม่สบาย ไม่ผ่านตัวเมืองสระบุรีเพราะไม่ต้องการพบบ้าน ไม่อยากรบกวนอาหารจากชาวบ้าน ได้อาศัยอาหารจากต้นไม้เป็นอาหารหลัก
แต่ก็ไม่สมาทานเป็นลิงขึ้นยอดไม้เพื่อเก็บผลไม้รับประทาน ด้วยคณะธุดงค์เชื่อว่าเทวดาประจำต้นไม้มี ไม่ใช่เป็นเรื่องของพราหมณ์พูดเล่นพล่อย ๆ เมื่อเชื่อว่าต้นไม้มีเทวดาก็เลยถือโอกาสขอข้าวจากเทวดากิน เพราะเทวดาไม่ต้องหุงข้าว แกคงไม่ลำบากนักเมื่อขอจริง เทวดาก็มีอาหารให้จริง เมื่อได้เท่าไรก็ตาม กินแล้วอิ่มพอดีตลอดทั้งวัน และอิ่มจนกว่าจะถึงรอบใหม่ ไม่หิว ไม่เพลีย แม้น้ำก็ไม่กระหาย ใครว่าเทวดาตามต้นไม้เป็นเทวดาพราหมณ์ก็ช่างปะไร จะเป็นเทวดาพราหมณ์หรือเทวดาพุทธ เราก็เอาข้าวกินได้ จะเสียหายอะไร

เมื่อเดินทางโดยลัดตัดป่าเป็นสรณะ แปลว่า ที่พึ่ง คือ พึ่งป่า เพราะร่มรื่นไม่ร้อนจากแสงอาทิตย์มากนัก เป็นสถานสงัด ภาษาพระท่านเรียกว่า กายวิเวกคือสงัดกาย หมายถึงไม่หนวกหู ชาวบ้านคุยกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ยั่วเย้าเคล้ากามารมณ์กันบ้าง อาการอย่างนี้พระธุดงค์รำคาญ ด้วยมีความประสงค์สงัดกายเป็นอันดับแรก และต้องการความสงัดที่ ๒ ก็คือ จิตวิเวก ที่เอาศัพท์วัด ภาษาวัดมาเขียนและพูดไว้ก็เพื่อให้ลูกหลานที่ไม่ใคร่ได้เข้าวัดจะได้รู้ภาษาวัดไว้บ้าง ด้วยพวกนักคุยอวดวัดชอบใช้ภาษา แต่เขาไม่ใคร่ชอบใช้ปฏิปทา คือ พูดได้ แต่การปฏิบัติไม่ค่อยเอาไหน แม้พระนักเทศน์ที่เทศน์สอนชาวบ้านก็เถอะลองไปถามแกเข้าเถอะ ดีไม่ดีแกบอกว่าแกไม่ว่างทำเองเพราะงานสอนชาวบ้านมากเกินไปแกเลยไม่มีเวลาทำเอง พระอย่างนี้น่าเห็นใจท่านที่ชาวบ้านรบกวนเวลาท่านมาก ควรจะเลิกรบกวนท่าน เพื่อท่านจะได้สงเคราะห์ตัวเองสะดวก วิธีสงเคราะห์ก็คือไม่นิมนต์ท่านเทศน์หรือนิมนต์เทศน์ไม่ถวายเงิน เท่านี้ก็หมดเรื่อง ท่านจะได้ว่างทำเองเสียบ้าง หนวดเคราของท่านจะได้เกลี้ยงเกลาคล้ายหัวฉัน เธอดูหัวฉัน ๆ จะโกนหรือไม่โกนมันก็ล้านมากเข้าทุกวัน ฉันดีใจที่หัวฉันล้าน เพราะเป็นที่ยอมรับถือ กรรมฐานอันดับแรกที่ฉันบวช ท่านอุปัชฌาย์ท่านสอนว่าเกศา ผม มันไม่เที่ยง มันเกิดแล้วก็เสื่อม ตอนต้น ๆ ไม่เชื่อ เห็นมันดกดำดี หนาทึบ มาตอนนี้ชักเห็นจริงที่มันพยายามล้านมากขึ้นทุกปี ฉันดีใจที่กรรมฐานหัวฉันเป็นจริงตามที่ท่านอุปัชฌาย์ท่านว่า

แอบมาคุยอวดหัวล้านเพลินไปเสียแล้ว ว่ากันด้านสงัดที่ ๒ คือ จิตวิเวก สงัดจิต ได้แก่ อารมณ์ฌาน เมื่อจิตจะเป็นฌานได้ต้องปราบนิวรณ์ ๕ สงบ เมื่อนิวรณ์ ๕ สงบจิตก็สงัดจากนิวรณ์ ท่านเรียกว่า ฌาน เมื่อกายวิเวกเพราะไม่มีเสียงชาวบ้านรบกวน อารมณ์ก็เป็นสมาธิง่าย เรียกว่าเข้าฌานสบาย เมื่อวิเวกทั้งสองได้แล้วก็ต้องการวิเวกที่ ๓ ต่อไป คือ อุปธิวิเวก แปลว่า สงัดกิเลส อันนี้ไม่ยาก เมื่อสมาธิดีแล้ว ทรงฌานเต็มกำลังได้แล้ว ก็เอาฌานเป็นบาท คือ ที่ตั้งอารมณ์ แสวงหาความจริงมาใคร่ครวญ ทรงอารมณ์ให้เห็นจริงตามความเป็นจริง มันเป็นเรื่องกล้วย ๆ ของท่านที่ทรงฌาน และไม่คิดว่าฌานเป็นของเลิศ พยายามแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตต่อไป พระที่เดินทางร่วมกับหลวงพ่อปานคราวนั้น เป็นพระทรงสมาบัติ ๘ ทั้งหมด เมื่อทรงสมาบัติ ๘ แล้ว เป็นพระทรงฌาน ๒ ในวิชชา ๓ ทั้งหมด ส่วนอภิญญานั้นใครจะทรงได้บ้างคณะของท่านไม่ได้บอก เมื่อเจ้าของไม่บอก ฉันจะแอบไปรู้เกินท่านบอกมันอาจจะเกินพอดีไป เขาจะว่าหัวล้านนอกครู หรือ หัวล้านทะเล้น ไม่รู้ดีกว่า จะได้ทรงความหัวล้านไว้เป็นปกติ คือ มันล้านแล้วมันจะได้ไม่มีผมยาวขึ้นมาอีก ฉันมันเลอะเทอะใหญ่แล้ว ลูกหลานรำคาญที่จะฟังหรือยัง วันนี้ฉันเผลอไป ลืมบอกไปว่าวันนี้เป็นวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ยังเช้ามาก พวกศาลในเมืองเขายังไม่มา ก็เลยหาโอกาสคุยกับลูกหลานแก้รำคาญไปพลาง ๆ แต่ทว่าทำให้ลูกหลานรำคาญหรือเปล่าไม่รู้ ใครรำคาญก็เฉยไว้ ไม่รำคาญก็ตั้งใจฟังต่อไป เรื่องพระพุทธฉายนี้ต่อไปข้างหน้ารบกันใหญ่ จะพบพระทะเลาะกับยักษ์ คำว่ายักษ์นี้ไม่ใช่ยักษ์ทศกัณฐ์ หรือยักยอก เป็นยักษ์ผี ฟังกันต่อไป


( พระพุทธฉายที่ถ้ำฤาษี เขางู จ.ราชบุรี )
เมื่อรอนแรมมาในระยะทางใกล้ ๆ แต่เดินไม่ใคร่ถึง เพราะเดินกันแบบธุดงค์ ไม่ใช่เดินดงจะให้รีบไปพ้นป่า คณะนี้เป็นคณะอาศัยป่า สมาทานเป็นอรัญวาสีแท้คือไม่อยากเห็นบ้าน ไม่อยากกินข้าวชาวบ้าน เพราะรำคาญ ลำบากในการกินที่รสอาหารชาวบ้านมีกลิ่นคาว อาหารจากต้นไม้ไม่มีกลิ่นคาว กินแล้วอิ่มสบาย ไม่กระหายน้ำ ดีกว่าอาหารชาวบ้านเยอะ อ้ายสองลิงมันถึงไม่ยอมเข้าบ้านเข้าเมือง ชวนเท่าไรมันไม่เอา มันบอกว่ามันไม่ได้เป็นขี้ข้าชาวบ้าน มันอยู่ป่าของมันสบายกว่า ด้วยอาหารป่า การอยู่ป่าสบายบอกไม่ถูก เมื่อถึงพระพุทธฉาย เรื่องก็เป็นไปตามเดิม ท่านให้ทุกองค์เข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ฟังแล้วอย่าคิดว่ายากนะ เขาใช้เวลากันไม่ถึงครึ่งวินาทีก็เต็มแล้ว ด้วยปกติมันคอยจะเต็มอยู่แล้ว ยิ่งเดินป่าอารมณ์ยิ่งเต็ม ก่อนออกเดินต้องเข้าฌาน ๔ เต็มอัตราก่อน แล้วถอยมาตั้งอยู่ระดับปฐมฌานหรืออุปจารฌาน พร้อมที่จะเข้าฌาน ๔ ได้อย่างฉับพลัน เมื่อได้รับบัญชาว่าทุกองค์จงเข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ต่างก็ทราบว่าหลวงพ่อจะได้พิสูจน์ความจริงเรื่องพระพุทธฉายอีกแล้ว ต่างก็เข้าฌาน ๔ ในอาโลกกสิณทันที ปับเดียวถึงเลย หายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออก ลมหายใจมันก็หายไปเลย เป็นอันว่าฌาน ๔ มาถึงแล้ว ไม่เห็นยากเลย เมื่อท่านตรวจเห็นว่าทรงฌานดีอารมณ์สะอาด ท่านบอกให้ทดสอบเรื่องพระพุทธฉายว่าพระพุทธเจ้ามาฉายไว้จริงหรือเปล่า มีใครเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้ามาฉาย

คณะสี่ลิงหน้าพลับพลาต่างก้ตรวจตามความสามารถ ผลงานที่เขียนไว้ตรงกัน คือ เห็นแถวบริเวณพระพุทธฉายเป็นเขตใกล้ทะเล มีคน ๒ คน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ สูง ผิวขาว หน้ามน ๆ อีกคนหนึ่งผิวดำ สันทัดคน ร่างเล็กกว่าคนก่อน เป็นหัวหน้าสร้างที่พักด้วยไม้เหลือง เสร็จแล้วมีพระนิมนต์พระพุทธเจ้ามาพร้อมด้วยพระสาวกไม่กี่รูป เมื่อพระองค์ทรงเทศน์จบแล้วจะกลับ เขา ๒ คนขอให้พระองค์ทรงทำของที่ระลึก ท่านเลยเนรมิตรูปท่านกับพระอัครสาวกทั้งสองไว้เพื่อให้เขาบูชา เมื่อผลงานปรากฏต่างก็ถวายอักษรสาร แต่ไม่ใช่ตราตั้ง เป็นสารผลงาน หลวงพ่อตรวจแล้วท่านชมว่าดี แต่ยังมีผลน้อยไป ควรรู้มากกว่านี้ แล้วท่านก็ว่าดีแล้ว พวกแกเอาตัวรอดได้ เดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ระวังให้ดีนะ ถ้าเผลออาจลงนรกได้ไม่ยาก ทำเกือบตายท่านว่าห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว แล้วก็พวกที่เขาว่าเป็นฝ่ายคามวาสีไม่เอาไหนสักอย่ง ชาวบ้านเอาหนังสือสมถวิปัสสนาให้อ่าน เพื่อนบอกว่าไม่ว่าง ไม่ใช่ฝ่ายอรัญวาสี แกบวชของแกยังไง อุปัชฌาย์ไหนบวชให้ ไม่สั่งสอนกันเสียบ้างเลย ได้เงินค่าจ้างบวชแล้วก็หายไปหมด แบบเต่าใหญ่ไข่กลบ ไม่โผล่หน้าโผล่ตามาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเสียบ้างเลย ปล่อยให้พระในพุทธศาสนาขายหน้าไปตาม ๆ กัน พูดกับเขาได้ว่าตนเป็นฝ่ายคามวาสี พวกอยู่ในบ้านในเมืองเจริญสมถภาวนาไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ พวกที่เจริญสมถภาวนาต้องเป็นอรัญวาสี พวกอยู่ป่า

ถามจริง ๆ เถอะ สมัยพระพุทธเจ้า พระคามวาสีมีจำนวนเท่าไรที่บรรลุอรหัตผล ฝ่ายอรัญวาสีมีจำนวนเท่าไร ท่านโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรท่านก็เป็นฝ่ายคามวาสี ทำไมท่านเป็นพระอรหันต์ได้ พระแบบนี้บวชอุปัชฌาย์ไหนนะ อยากรู้จริง ๆ ให้ท่านดูพระไตรปิฎกเสียบ้าง พระอย่างนี้มีมากเท่าใดก็ทำให้พระศาสนาเศร้าหมองมากเท่านั้น เลี้ยงขโมยเราก็เป็นขโมยด้วย เลี้ยงผู้มีอารมณ์สงเคราะห์ เราก็เป็นนักสงเคราะห์ด้วย เลี้ยงพวกทำลายศาสนาเราจะเป็นอะไร พวกนี้เขาจะเดินห่างนรกสักกี่วา พวกทรงสมาบัติ ๘ ได้วิชชา ๒ ใน ๓ อภิญญาไม่ทราบท่านได้หรือไม่ ด้วยท่านไม่ได้บอก หลวงพ่อท่านว่าเดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ตามขวางนิ้วของท่าน ท่านทำท่าให้ดู ไม่ใช่นิ้วฟุต แล้วพวกคามวาสีไม่เอาไหนเลย อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา กฎที่พระจำต้องทำไม่ใช่ว่าควรทำ คำว่าจำต้องทำมันเป็นกฎตายตัวหรือข้อบังคับ ตัวไม่ทำ ชาวบ้านทำได้ พระทำไม่ได้ มันไม่เลวเกินไปหรือหลวงพ่อ พวกนี้เขาจะเดินห่างนรกสักกี่วา ลืมถามหลวงพ่อท่านไป ดีไม่ดีพญายมเบื่อความเลวที่ไม่เอาไหนอาจจะปล่อยเป็นสัมภเวสีไปตามอารมณ์ก็ได้ เมื่อท่านสั่งให้พิสูจน์เพื่อฝึกซ้อมศิษย์ในด้านการใช้ญาณเพื่อผลในการช่วยตัวเองแล้ว ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านจะมาฉายไว้ จริงหรือไม่ค่ำวันนี้ก็รู้กัน ฉันจะพิสูจน์อย่างที่พระพุทธบาท

เมื่อยามค่ำปรากฏการพิสูจน์ก็มีขึ้น พิธีอย่างเดียวกัน แต่ผลที่ปรากฏไม่ใช่ดวงดาว ปรากฏเป็นรูปพระพุทธเจ้าอย่างพระสงฆ์ ไม่ใช่แบบเชียงแสนหรือสุโขทัย อู่ทอง เป็นพระสงฆ์เราเอง สวยบอกไม่ถูก พระทุกองค์จำได้ เพราะเห็นเป็นปกติ มีรัศมีช่วงโชติพุ่งออกจากพระวรกาย สยงามมาก ดูเหมือนคล้ายเอานีออนไปประดับ แต่สวยกว่าแสงไฟฟ้ามาก มีพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรนั่งองค์ละข้าง ลืมตาดูสบาย ดูแล้วก็เกิดธรรมปีติ ไม่ต้องบรรยายดีกว่า พูดไปก็ซ้ำกัน รำคาญเปล่า ๆ เมื่อถึงเวลาดึกประมาณ ๒๔ น. เรื่องเวลานี้ต้องถือว่าไม่ตรงเสมอไป ต้องใช้คำว่าประมาณเพราะกะเอา ไม่มีนาฬิกา ใช้แต่นาฬิกากะ คือ กะเอาอย่างนั้นเอง เพราะฉันข้าวเวลาเดียว เรื่องอะไรจะต้องดูนาฬิกา เรื่องถึงไหน เมื่อไรไม่ใช่ธุระ ไปกันตามสบาย ไปตามอารมณ์ อยากไปก็ไป ไม่อยากก็พัก ไม่มีกำหนดแน่ว่าจะเดินเมื่อไร พักเท่าไร เมื่อเวลา ๒๔ น. ผ่านไป ต่างก็เข้ามุ้งนอนตามปกติ แต่ไม่มีใครหลับ เพราะธรรมปีติเบิกลูกตา พอเวลาผ่านไปประมาณ ๒ น. ดวงจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าเริ่มจะหาย เพราะท่านไม่อยากอยู่ตลอดคืน มีแสงดาวค่อยสว่างเต็มที่ ต่างก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานพูดในกลดของท่านว่า นั่นใครมายืนอยู่ข้างกลดพระเขียน ทุกองค์มองไปก็ไม่มีใคร เห็นแต่ต้นไม้สูงมาก สูงขนาดยอดยางเห็นจะได้ ต้นยางขนาดสูงนะ ไม่ใช่ต้นยางขนาดฟุตเดียว ต่างก็แปลกใจ ที่ตรงนั้นขณะปักกลดไม่มีต้นไม้แล้วต้นไม้นี้มามีขึ้นได้อย่างไร มองไปด้านบนเห็นกิ่งไม้สองกิ่งแกว่งไปแกว่งมา ดูท่อนล่างเห็นเป็นต้นไม้แฝด มีลำต้นสองต้นเบื้องล่าง แต่พอสูงขึ้นไปต้นไม้กลับรวมเป็นต้นเดียว มีกิ่งสองกิ่งแต่ก็ห้อยลงมาขาพับตามต้นแกว่งไปแกว่งมา ปลายกิ่งมีก้านสั้น ๆ กิ่งละ ๕ ก้าน มองสูงขึ้นไปบนยอดเห็นมีไฟแดง ๒ ดวง ทุกองค์มองดูอยู่ในกลด เมื่อเห็นทั่วตัวต่างก็ทราบว่าไม่ใช่ต้นไม้ เป็นยักษ์ ไม่มีใครสะดุ้ง เสียงหลวงพ่อปานถามต่อไปว่ามายืนอยู่ทำไม เจ้าหมอนั่นนิ่งสักครู่หนึ่งแล้วมันพูดว่า ผมขอพระองค์นี้ได้ไหมครับ พระองค์นั้นคือพระเขียนที่ร่วมทางไปด้วย เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เสียงหลวงพ่อตอบว่าไม่ได้ ญาติโยมเขาฝากมา จะเอาไปไม่ได้ เจ้าตาแดงสูงเหมือนต้นตาลมันยืนนิ่งสักครู่หนึ่ง มันก้มลงมองที่กลดพระเขียน เสียงมันพูดว่าไม่ให้ก็ไม่เอา ลาละ มันพูดแล้วมันก็เดินหายไปทางทิศตะวันตก

เมื่อเจ้าต้นไม้ประหลาดหายไปแล้ว ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานร้องถามมาว่า ใครไม่หลับบ้าง นิมนต์มาหาฉัน ทุกองค์ปรากฏว่าไม่มีใครหลับเลย และต่างก็ได้ยินหลวงพ่อปานพูดกับเจ้ายักษ์ดำ เห็นเหตุการณ์ตลอดเหมือนกันทุกองค์ เมื่อพระมาประชุมพร้อมกัน ท่านก็บอกให้พระทุกองค์ทราบว่า พระเขียนเข้าสู่เขตกาลมรณะ จะต้องตายตามวาระของอายุขัย แต่ทว่าอาศัยความดีที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ทรงสมาธิและวิปัสสนาญาณ ประกอบกับมาธุดงค์ เป็นกาลที่ท่านพอจะขอร้องเขาไว้ได้ชั่วขณะเดียว เมื่อกลับถึงวัดแล้วท่านบอกว่า อาจจะประวิงเวลาไม่ได้อีกนานนัก ขอให้พระเขียนและทุกองค์เตรียมตัวพร้อมที่จะตายได้ อะไรที่ไม่เกินวิสัยที่จะทำ นั้นคือ วิปัสสนาญาณ ให้ขยันหมั่นเพียรให้มาก ชำระจิตใจให้สะอาดเป็นปกติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงวาางภาระว่าเราของเราเสียให้สิ้น ด้วยไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็มีเจ้าของคือมรณภัยมันมาทวงคืน ทุกองค์รับคำสอนด้วยดี มีท่านหนึ่งในจำนวน ๔ ท่านถามท่านว่า หลวงพ่อทราบหรือไม่ว่าพระเขียนจะต้องเข้าระยะมรณะในวันนี้ ท่านบอกว่าท่านทราบมาก่อน ท่านทราบมาจากนายบัญชี ท่านรู้จักกับเขาดี ที่ชวนมาธุดงค์ด้วยและคุณเขียนก็เต็มใจมา ไม่ใช่ชวนมาประวิงเวลาเพื่อให้ตายช้า ชวนมาเพื่อให้ทำความดีให้สมควรแก่วาสนาบารมี ถ้าอยู่ที่วัดจะทำความดีไม่เท่ามาธุดงค์ แล้วท่านก็สอนอารมณ์วิปัสสนาย่อ ๆ เพียงให้คิดว่า เราไม่มีอะไรเป็นของเรา เราไม่ต้องการมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เรามีพระนิพพานเป็นที่ไป ท่านให้พระเขียนเจริญอุปสมานุสสติ คือ การคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ ที่เขาให้ภาวนาว่า นิพพานัง นั่นแหละ

เมื่อสนทนากันไม่นาน มันอาจจะนาน แต่คณะธุดงค์อาจจะชุ่มชื่นในพระพุทธานุภาพและประสบกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบมาก่อน มองไปดูท้องฟ้าเห็นใกล้สว่าง มีท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่าที่มาทวงชีวิตพระเขียนเป็นใคร ท่านบอกว่ายักษ์ ถามว่าเขามาทวงเพราะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือ ท่านบอกว่าไม่ใช่ เขามาตามหน้าที่ เมื่อเขามีหน้าที่มารับเขาก็ต้องมา ถามท่านว่าถ้าพระเขียนตายเวลานี้จะไปทางไหน นรกหรือสวรรค์ หรือพรหมโลก หรือนิพพาน ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่พระเขียนจะชอบใจ ชอบใจอย่งไหนก็ไปได้ตามชอบใจ เมื่อตายแล้วจะไปทางไหนก็ไปได้ตามชอบ ท่านโคธิกะท่านเชือดคอตายเพราะเบื่อสังขาร มันป่วยเสมอ ท่านไปนิพพาน พระเขียนจะชอบใจอะไรก็เป็นเรื่องของเธอ ท่านเล่นใบ้หวยแบบนี้ไม่มีใครแทงถูก เมื่อถามพระเขียนเอง ท่านบอกว่าท่านเบื่อขันธ์ ๕ เบื่อชีวิต เบื่อหมดทุกอย่าง เมื่อท่านเบื่ออย่างนี้แล้วท่านจะลงนรกก็ตามใจท่าน

พอรุ่งสางท้องฟ้ามีสีทองปรากฏ คณะธุดงค์ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไม่ได้ไปไกลเพราะเห็นมีต้นไม้ใหญ่มีสาขางามสะพรั่งไว้ตั้งแต่ตอนมาถึง ต่างก็มั่นหมายไว้แล้วว่าต้นนี้แหละเป็นโรงผลิตอาหารในวันพรุ่งนี้ อยู่ห่างจากที่ปักกลดไม่ถึง ๒๐ วา ต่างก็เอาบาตรไปแขวนตามเคย เมื่อได้อาหารมาแล้วก็ฉันกันหมดบาตร ความจริงได้มาประมาณ ๓ ทัพพีเท่านั้นเอง เมื่อฉันเสร็จทุกองค์ก็เข้าที่พักเพราะตลอดคืนไม่ได้หลับเลย เมื่อทุกองค์พักพอเหยียดกายเรียบร้อยก็เห็นพระเขียนเดินเข้าป่า เมื่อกลับมาไม่ถึง ๕ นาทีก็เดินไปอีก ต่างสงสัยถามว่าไปไหนมา ท่านบอกว่าไปถ่ายอุจจาระ ตอนนี้หลวงพ่อลุกขึ้นจากที่พัก เรียกพระเขียนเข้าไปใกล้ พระเขียนดูท่าทางเพลียมาก ท่านถามว่าท้องถ่ายกี่ครั้งแล้ว พระเขียนบอกว่า ๒ ครั้งแล้วครับ ท่านบอกว่าอีกครั้งเดียวก็หยุด ยังไม่ตาย มาเอายาหมู่ไปฉันเสีย เห็นท่านฝนกิ่งไม้กับฝาละมีหม้อดินที่ท่านเตรียมติดตัวไปด้วย เมื่อพระเขียนฉันแล้วก็ไปถ่ายอุจจาระอีกครั้งหนึ่งแล้วก็หยุดถ่าย ท่านบอกว่างไม่ตาย เตรียมตัวไว้ กลับไปวัดแกก็สบายก่อนฉัน ฉันต้องใช้หนี้กรรมอีกหลายปี แกดีกว่าฉัน สบายกว่าฉัน แล้วท่านก็สั่งให้พักผ่อนต่อไป เรื่องพระฉายก็เห็นจะจบกันเท่านี้ วันต่อไปฟังเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด เล่นเอาสบงจีวรหลุด เรื่องจะเป็นอย่างไรฟังวันหน้า วันนี้ฉันชักเหนื่อย ขอยุติเพียงเท่านี้

หน้าที่ผ่านมาหน้าต่อไปCopyright © 2001 by
Amine
พิมพ์โดย casnova26 ต.ค. 2545 0:20:17