สัมภาษณ์ผู้ฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

โดย .. ประไพ สุนทราณู


ตอนที่ ๑

ข้าพเจ้าเป็นอีกคนหนึ่งได้รับการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าบวชชี พราหมณ์และถือธุดงค์ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นครั้งแรกจริง ๆ ในชีวิตที่ได้บวช ได้ร่วมเดินเวียนรอบโบสถ์ กับพระที่บวชใหม่และชีพราหมณ์ทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่รู้จะภาวนาว่าอะไรก็เลยสวด อิติปิ โสฯ ไปตลอด สวดไปเรื่อย ๆ

พอเวียนรอบโบสถ์ได้รอบหนึ่ง เวียนมารอบที่ ๒ ก็ตั้งจิตอธิษฐาน คือ อธิษฐานตั้งแต่ที่บ้านแล้ว พอไปถึงก็อธิษฐานต่อหน้าพระอีกครั้งหนึ่งว่า วิชาความรู้นี้ ถ้าข้าพเจ้าได้รับการฝึกฝนมาก่อนในอดีตชาติ และ ได้สร้าง บารมีทางนี้มา ก็ขอให้ข้าพเจ้าฝึกได้ แต่ถ้าในอนาคตกาลถ้าข้าพเจ้าจะใช้วิชาความรู้นี้ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขออย่าให้ข้าพเจ้าฝึกได้เลย ไม่ต้องการ พอใจแค่ครึ่งกำลัง

วันศุกร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ข้าพเจ้าเจอข้อสอบอย่างแรง จิตตกถึงขนาดที่ว่าถ้าจะเทียบก็ติดลบทีเดียว คืนนั้นคืนวันศุกร์ข้าพเจ้านอนไม่หลับ

พอเช้าวันเสาร์รับการฝึก ข้าพเจ้าก็หวนคิดไปถึงคำอธิษฐานที่หน้าโบสถ์ ข้าพเจ้าสงสัยว่าต่อไปในอนาคตข้าพเจ้าจะต้องเลวแน่ ๆ พระท่านถึงดลใจให้เจอข้อสอบ ตอนนั้นจิตมันบอกไม่ถูก มันติดลบอย่างแรง..รู้แต่เพียงว่า โลกนี้มันไม่น่าอยู่จริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่ของเราจริง ๆ มันเป็นโลกธรรมที่กระทบได้ตลอด ใจตอนนั้นมันไม่ต้องการจะอยู่อีกแล้ว

ก็คิดไปว่าต่อไปในอนาคตเราจะต้องเลวจัดแน่ ๆ แต่ถ้าเราจะเลวขนาดนั้น เราขอตายตอนนี้ดีกว่า เราตายพร้อมศีล เราได้บวช เราได้ห่มผ้าขาวเป็นบุญใหญ่ ๆ ทั้งนั้น อย่างน้อย ๆ เราก็ไปดาวดึงค์ แต่เราจะไม่ไป เราจะตรงไปพระนิพพานเลย คิดอย่างนี้ คือ ตอนนั้นมันไม่เอาจริง ๆ ขันธ์ ๕ ก็เลยบอกว่า คือ ตั้งจิตไว้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไม่ใช่ของเราจริง ๆ

ขณะที่เปิดเทปบวงสรวง หลวงพ่อให้สมาทานศีล สมาทานกรรมฐานและเปิดเทปคำสอน ก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าหน้าที่มาแจกกระดาษปิดหน้าเขียนคาถา นะโมพุทธายะ ก็เอาคาถาขึ้นมาปิดหน้าไว้ น้ำตามันมาจากไหนก็ไม่รู้ มันไหลออกมาเองโดยที่เรายั้งไม่อยู่ มันร้องไห้แล้วก็ได้เรียกรู้ตัวว่าเรียกท่านพ่อ ท่านแม่ ว่า " ลูกไม่เอาแล้วขันธ์ ๕ นี้มันทุกข์เหลือเกินเจ้าค่ะ " ก็บอกแบบนี้ แล้วเริ่มภาวนาไป เห็นเทวดาที่ท่านสงเคราะห์ ท่านมายืนอยู่ข้างหลัง ข้างบนหัวของข้าพเจ้า ก็เห็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เป็นแก้วใสลอยอยู่ ก็เลยอธิษฐานจิตไปว่า ขอให้ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ ในกาลก่อน หรือ ผู้มีพระคุณนั้นล้อมเราไว้อย่าให้จิตเราแลบออกไป ลูกไม่เอาจริง ๆ ขันธ์ ๕ มันเลวเหลือเกิน ก็เห็นหลาย ๆ องค์ ยืนล้อมอยู่

ภาวนาก็ภาวนาไปเรื่อย ๆ นะมะ พะธะ ๆ ภาวนาได้สักครู่หนึ่ง อาการทางร่างกายมันก็ร้อน ร้อนแบบร้อนรุม ๆ ขึ้นมา พอมันร้อนลมหายใจมันก็แรงขึ้น ๆ แต่แรงพอทนได้ เหมือนเรา เหนื่อยไม่ใช่แรงแบบจะขาดใจ ไม่ใช่แบบนั้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ เสร็จแล้วฉันก็ค่อย ๆ หาย เหมือนลักษณะเราวิ่งเหนื่อย แล้วค่อย ๆ หาย พออาการเหนื่อยมันหายลง คำภาวนาก็หายไปด้วย ลมหายใจก็หายไปด้วย มันก็เบา มันเบาเหลือเกิน แต่ช่วงที่มันเบานี่จิตเริ่มมีความสุข มีความสุขมาก ๆ แบบมัน ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ตัวเรา ขันธ์๕ เรา มันไม่มี มันเบาเหลือเกิน

พอมองดูก็มีความรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา ก็เอาใหม่ ตั้งต้นภาวนาใหม่ ภาวนา นะ มะ พะ ธะ ใหม่ พอภาวนาไปมันก็เบาไปอีก หายไปอีก ก็เอาใหม่ ตั้งต้นใหม่ พอครั้งนี้ เริ่มจะตั้งต้นใหม่ จิตก็ไปนึกถึง หลวงพี่อาจินต์ ที่ท่านสอนฝึกซ้อมวันก่อน จะขึ้นมาได้ว่า ท่านพูดเชิงพูดเล่นว่า "เป็นยังไงล่ะ เป็นยังไงบ้าง ลมหายใจมันหายไปแล้ว ตายแล้วมั้ง ๆ" ก็เลยคิดว่า เอ.. อันนี้มันฝึกเหมือนกันมั้ง แต่เราคงจะไม่ได้ออกไปแบบของชาวบ้านเขา เพราะว่าเราฝึกแบบนี้นี่ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

ข้าพเจ้ายอมรับเลยว่า ฝึกครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยตั้งต้นใหม่ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อว่า " เอ็งจะภาวนาไปถึงไหน " เท่านี้เอง ก็เลยคิดว่า เอ้อ! ออกได้หรือไม่ได้ก็ไปดีกว่า เพราะว่ามันมีความสุขมากจริง ๆ

พอจิตมันเริ่มเคลื่อน บริเวณตรงตัวเรามันจะเป็นโพรงใสขยายออกไป กว้างขึ้น ๆ แล้วก็ใสขึ้น ๆ จนมันเคลื่อนออกไปได้ เคลื่อนออกไปได้นี่ ร่างกายกับจิตนี่มันไม่สัมผัสกันเลย มันไม่รู้เลยว่าเรามีกายที่นั่งตรงนั้น มันนิ่งจริง ๆ แล้วมันก็หายออกไป สว่างโล่งทั้งจักรวาลนี่สว่างมาก ก็กราบสมเด็จองค์ปฐมฯ

ก่อนที่จะขึ้น จิตก็ตั้งไว้ว่าจะไปที่พระนิพพาน ไม่แวะที่ไหน เพราะว่าต้องการตาย ถ้าพบบ้านของเราเมื่อไหร่เราจะอยู่ที่นั่น ก็คิดไว้อย่างนี้ กราบท่านแล้วก็กราบทุก ๆ องค์ ท่านรออยู่ข้างบนหมด ทุกองค์ ที่ขึ้นพระนิพพานได้ ท่านช่วยพวกเราหมด

ภาพนี้ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนได้เห็น ได้รู้จริง ๆ ว่าผู้มีพระคุณหรือว่าคนที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ในชาติก่อน ๆ ท่านตั้งใจช่วยจริง ๆ ท่านบอกว่าท่านรอเวลานี้มานานแล้วที่ลูกจะทำความดี ไปกราบสมเด็จองค์ปฐม ก็บอกกับท่านว่า "ลูกขอให้สอนธรรมะลูก" ท่านตรัสได้ไพเราะเพราะพริ้งมาก ท่านตรัสว่า "ดูแลกายแต่น้อย ให้สนใจจิตให้มาก" คำพูดสั้น ๆ แค่นี้เอง แต่ว่าถ้าเราได้ยิน ขณะนั้นแล้วปัญญาเราแล่นจริง ๆ เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ มันจะขยายความไปได้เยอะเลยว่า กายนี้คือออะไร ดูแลยังไง อะไรยังไงจะขยายไปเรื่อย ๆ จะรู้จะฉลาด การคล่องตัวจะคล่องตัวมาก จะขยับ ทางไปจะรวดเร็วมาก เพียงแต่เราคิดนิดเดียว พระจะรู้จิตเราหมด แล้วท่านก็พูดตัดบท

ข้าพเจ้าได้รับคำสอนจากทุกองค์ จะขอเล่าแต่เพียงย่อ ๆ จิตนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คือ ทุกองค์จะสอนหมด ท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ท่านพ่อ ท่านย่าวิสาขาท่านก็เดินมาหา ทุกองค์ จะรอรับหมด

ท่านย่าวิสาขามาทักว่า " เป็นยังไงล่ะ ย่าไปหาทำไมไม่ใช้วิปัสสนาญาณ " เท่านั้นเราก็จะร้องไห้อีกแล้ว เพราะสมัยท่านเราก็เคยเกิด ข้าพเจ้าบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าจะไม่ขอเล่า แล้วก็กราบพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่อยู่บนนั้น หันมา มองข้างล่างไม่ทันจะคิดที่จะทำอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนั้นมันตกตะลึง มันบอกไม่ถูก มันมีความสุขจริง ๆ ลืมไอ้ตัวข้างล่างไปเลย ก็หันมามองดูข้างล่าง ก็เห็นลำแสงของทุกคนที่ขึ้นมาได้นัน้ ถ้าเห็นจาก ข้างล่างเราจะเห็นเป็นลำแสงขาว ๆ แต่ถ้ามองจากข้างบนก็จะเห็นว่าไอ้แสงนั้นคือ ตัวของเราที่ใส่ชฎาแล้วหลุดขึ้นมา แล้วก็ขึ้นปรู๊ด บางคนก็วิ่งลงไปใหม่

ข้าพเจ้ามัวแต่โง่เสียเวลาขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาเลยมีน้อย แต่ความตั้งใจตอนแรกว่า ถ้าพบบ้านเราจะไม่ยอมลงมา แต่เราก็โง่อีกตามเคย ท่านชวนพูดชวนคุยจนได้สัญญาณหมดเวลา ข้าพเจ้าจำเป็นต้องลงมา ดิ่งลงไปเลย

ข้าพเจ้าขอจบการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังของวันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ไว้แค่นี้

ตอนที่ ๒

ต่อไปจะเล่าถึงการฝึกวันอาทิตย์ที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ วันอาทิตย์นี้ข้าพเจ้าขึ้นไปไม่เหมือนอย่างครั้งแรก ครั้งแรกที่ขึ้นไปนั้น ท่านบอกว่าเป็น ฌาน ๔ ละเอียด แต่ว่าการขึ้นไปครั้งที่ ๒ คือ วันอาทิตย์นี้ ไปแบบอภิญญา

ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก เพียงแต่ว่า พอวันที่ ๒ พอได้คาถานะโมพุทธายะ ปิดหน้า ภาวนาไปได้สักประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เห็นลำแสงพุ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ มาจากทุกทิศ มาจากทุกทิศจริง ๆ ก็นึกในใจว่า เอ!.. ทำไมแสงมากอย่างนี้ ไม่รู้จะไปลำไหน ก็เลยเอาจิตพุ่งไปตรงกลางขึ้นไป ก็ไปอยู่ที่สมเด็จองค์ปัจจุบัน ไปวิมานท่าน ไปบนพระนิพพาน ไปถึงบนนั้น ก็พบทุกพระองค์ครบเหมือนเดิม กราบทุกพระองค์ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ข้างบนหมด พรหมทุกองค์ แล้วก็หลวงปู่แหวน ทุกองค์ได้พบหมดจริง ๆ

กราบองค์ปัจจุบันท่านแล้ว ก็นึกได้ถึงเรื่องเมื่อวานว่า คือ ท่านสอนข้าพเจ้า แล้วก็ข้าพเจ้าได้พูดออกไปว่า "ในเมื่อพ่อ..(ขอประทานอภัยที่เรียกแทนหลวงพ่อว่า พ่อ เพราะขณะอยู่บนนั้นข้าพเจ้าเรียกอย่างนี้จริง ๆ ) พ่อเคยบอกว่า การที่ขึ้นมาได้บนนี้ เป็นบุญอันสูงสุดในพุทธศาสนา ลูกก็ถือว่าลูกทำความดีแล้ว ลูกจะขออยู่บ้านของลูกเลยได้ไหมเจ้าคะ"

ท่านก็ทรงพระเมตตาตรัสว่า " นั่น... เธอทำไมถึงได้โง่อย่างนี้ เธอหันไปดูซิว่าเธอเกิดมากี่ชาติ เธอเป็นทาสขันธ์ ๕ มากี่ชาติแล้ว ทำไมชาตินี้เธอชนะแล้ว ทำไมเธอไม่ใช้มันให้คุ้มให้หมดอายุขัย "
(ข้าพเจ้าขอวงเล็บไว้ในที่นี้นะว่า "ที่ชนะแล้ว" นี่ ท่านหมายถึงตอนที่ข้าพเจ้าได้ขึ้นมาข้างบน ไม่ได้หมายถึงว่าข้าพเจ้าลงไปข้างล่างนะ การขึ้นมาข้างบนได้นี้ ก็ถือว่า ตอนนั้นจิตว่างจากกิเลส ขอให้ทุกท่าน อย่าเข้าใจว่าข้าพเจ้าคุยโอ้อวดแต่ประการใด เจตนาจริง ๆ ไม่มี ต้องการจะบอกเพียงแต่ว่าท่านสอนท่านตรัสแบบนี้จริง ๆ)

แล้วก็นึกสงสัยในใจว่า เอ..ทำไมสมเด็จองค์ปฐมท่านสอนให้เราตัดขันธ์๕ แล้วทำไมองค์ปัจจุบันท่านจะให้เราอยู่ต่อ ในเมื่อเราไม่ต้องการมัน เพียงแค่นึกแค่นี้ ท่านไม่ตรัสอะไร ท่านยิ้ม ๆ แล้วท่านก็บอกว่า ทุกองค์เขาเข้ามาสอนเอง พระโมคคัลลาน์ก็มา ก็กราบท่าน เพราะว่ารักท่านมาก แล้วก็เคยอยากจะเห็นท่านมาก กราบแล้วขอพรท่าน ท่านก็ให้พร

ก็หันไปเห็นพระสารีบุตร ท่านกวักมือเรียกเข้าไปหา "เข้ามาซิ" ก็คลานเข้าไปกราบท่าน ท่านก็บอกว่า "มาใกล้ ๆ มาใกล้ ๆ มาให้ชัด ๆ" ก็เลยเข้าไปกราบท่าน เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย ท่านบอกว่า "เรามันลูกพ่อเหมือนกันนะ" แต่ว่าท่านเตือน "เวลาอยู่ในหมู่คณะเนี่ยให้สำรวม พวกมันจะบาปใหญ่" ตอนนี้ปัญญามันแล่นนะ ท่านหมายถึงอะไรข้าพเจ้ารู้

ข้าพเจ้าขอขยายความตรงนี้นิดหนึ่ง (ขอกราบประทานอภัยถ้าหากไปกระทบจิตผู้หนึ่งผู้ใด ข้าพเจ้าไม่มีเจตนา) การที่พระสารีบุตรท่านสอนครั้งนี้ ท่านเตือนครั้งนี้ ถือว่าเป็นพระคุณใหญ่ คือ ข้าพเจ้าจริง ๆ แล้วนั้น จริตของข้าพเจ้านี้เลวมาก ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่สำรวม จะไม่สำรวมอะไรเลย เป็นคนที่หน้าเป็นอยู่ตลอด ซึ่งมันผิดกับท่านที่ปฏิบัติจะเอาดีทางนี้ ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ข้าพเจ้านี้เลวจัด ไม่เคยสำรวมอะไรเลย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยึดที่ขันธ์ ๕ ยึดที่จิต จิตข้าพเจ้าไม่ได้มุ่งทำร้ายใคร ปฏิบัติเพื่อเอาตัวของตัวเองให้พ้นนรก ท่านสอนนี้ท่านตั้งใจจะย้ำเตือนว่าอย่าทำอะไรที่มันทำให้คนอื่นมันจะบาปใหญ่

ขอให้ทุกท่านอย่าสนใจกับขันธ์๕ มากนัก อย่าดูคนที่การแต่งกาย อย่าดูคนที่ความรวย อย่าดูคนที่ความสวย อย่าดูคนที่ไม่สวย ให้ดูเขาที่จิต พวกเราลูกพี่ทุกคนได้รับการฝึกมาแล้ว อย่างน้อย ๆ มโนมยิทธิครึ่งกำลัง แจ่มใสบ้าง ไม่แจ่มใสบ้าง แต่ให้ดูกันที่จิต ให้วัดกันที่คุณงามความดี ลีลาของแต่ละคน ไม่มีใครเปลียนลีลาของตัวเองได้ นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียว

ตอนนั้นเราก็มีสติ เราก็คิดว่า เออ..เราเลวนะ เรายังปฏิบัติดีไม่ได้ ออกมาสำรวมก็คงจะสำรวมไม่ได้ ก็ขอกราบทุก ๆท่าน ที่ท่านปฏิบัติได้ ปฏิบัติสำรวม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบได้ ข้าพเจ้ากราบขอขมาจิตจริง ๆ ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือเจตนาที่จะล้อใครเล่น แต่เพียงแต่ว่านิสัยสันดานของข้าพเจ้านั้นมันเคยเป็นลิงมาก่อน คือ เป็นคนหน้าเป็น ขอให้ทุกท่านอย่าดูที่เสื้อผ้า อย่าดูที่กาย อย่าดูที่การกระทำ ขอให้ดูที่จิต ข้าพเจ้าฝากไว้แค่นี้ ที่พระสารีบุตรท่านเตือน ท่านเมตตาเตือนมา

พอหลังจากที่ท่านสอนแล้ว ท่นาย่าก็มาสอนอีก ( แต่ตอนนี้จะไม่ขอเล่า ) มาเตือนอีกมาสอนอีก ใจก็ขยับจะไปกราบองค์ปัจจุบันและจะบอกว่าเบื่อจะขออยู่บ้านเราเลย พอเราคิดเท่านั้นเอง ท่านก็พูดขึ้นมาก่อน ท่านพูดขึ้นมาก่อนว่า ให้หลวงพ่อพาข้าพเจ้าเที่ยว ( อย่าใช้คำว่าเที่ยวเลยนะ ถ้าใช้คำว่าเที่ยวมันต้องเพลิดเพลินใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย ขอเรียกว่าการฝึกมากกว่า ) ท่านพาไป ๓ จุดใหญ่ ๆ

จุดแรกคือ ดาวดึงส์ หลวงพ่อฝึกเร็วมาก รวดเร็วถึงขนาดที่ตั้งตัวไม่ได้ พอไปดาวดึงส์ก็ไปกราบท่านปู่ท่านย่า เป็นประธาน ทุกคนที่ดาวดึงส์ทุกองค์เป็นแก้วใสพรึ่บ สว่างไปหมด ไม่เห็นหน้าใครเป็นหน้าใคร สว่างพรึ่บไปหมด หลวงพ่อสั่งให้กราบผู้มีพระคุณเราก็กราบ ขณะที่เรากราบท่านก็กราบด้วย เสร็จแล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก กราบท่านย่าเสร็จท่านก็พาขึ้นไปพรหม

ตรงพรหมนี้เอง ท่านก็พูดว่า "เอ้า...! แกอยากจะเห็นลูกแกไม่ใช่หรือ เอ้า..! ฉันให้เวลาแกคุยกับลูกแก" ข้าพเจ้าก็ได้พบลูกชายที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว คุยกับลูกชายสักครู่เดียวเท่านั้นเอง เขาเข้ามากราบที่เท้า แล้วเขาก็พูด เรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดกับเขาได้ครู่เดียว หลวงพ่อก็บอกว่า "ไปได้แล้ว"

ท่านก็พอไปถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ทุกอย่างสว่างไสวมาก สวยสดงดงามมาก แต่ว่าอารมณ์จิตที่พรหมนี้เทียบเท่าพระนิพพานไม่ได้เลย ทุกอย่างเบาก็จริง สว่างก็จริง แต่บนนิพพานนั้นไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจ มันบอกไม่ถูกนะ มันไม่มีจริง ๆแต่ว่าบนพรหมนี้ยังรู้สึกมีลมหายใจเล็กน้อย การเคลื่อนไหวยังมีการ..ไม่ทราบว่าจะอธิบายยังไงดีนะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจริง ๆ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือว่า ถ้าขึ้นไปได้จะรู้ว่าอารมณ์จิตมันจะต่างกัน

จากพรหมชั้นที่ ๑๖ กราบท่านผู้เป็นใหญ่บนนั้นแล้ว ยังไม่ทันจะตั้งตัวเลย หลวงพ่อพาพุ่งลงนรก ท่านลุงพุฒิ พอเห็นท่านลุงปุ๊บ ข้าพเจ้าเกิดอาการลีลาของลิงเก่า วิ่งเข้าไปกอดเอวทันที แล้วก็กราบท่าน ข้าพเจ้าคุ้นกับท่านมานาน ก็ยังคิดอยู่ว่าเราคงตกนรกมาหลายแสนชาติ แต่ก็ได้รับคำตอบว่า "แกน่ะ ฉันเลี้ยงมาหลายชาติ ลุงดีใจที่แกขึ้นมาที่แกมาได้ นี่น่ะหรือหลานลุง ไม่เสียแรงที่ลุงเคยเลี้ยง" เสร็จแล้วท่าน ก็บอกว่า ถ้ารักลุงก็ให้ขึ้นมาทุกวัน แล้วท่านก็ให้เห็นภาพอะไรเยอะแยะไปหมด ภาพนรกนี่มันชัด มันชัดมาก ชัดทำให้เราเห็นเลือดเกิดสด ๆ ให้ดูแป๊บเดียว แล้วท่านก็ให้ดูรายชื่อคนที่อยู่ในบัญชี ที่มันยังเป็นตัวแดง ที่มันยังไม่พ้น ท่านก็ให้ดู โอ..! ข้าพเจ้าตกใจ มากมายเหลือเกินชื่อในบัญชีแดงนี่มากเหลือเกิน ใจก็นึกค้าน ค้านท่านว่าทำบุญกันขนาดนี้แล้วทำไม ทำไมยังไม่พ้น ไม่พ้นนรกอีกหรือ นี่ข้าพเจ้าไม่ได้พูดออกมา แต่เพียงแต่นึกค้านในใจ ท่านลุงก็ตอบว่า "มันทำบุญ มันมีหลายระดับจิต มันทำบุญแต่ว่ามันไม่ฝึก มันไม่มีธรรมะ มันไม่ได้ฝึกกรรมฐานกัน ใจมันก็ไม่ติดบุญ ในเมื่อไม่ติดบุญ ถ้ามันตายตอนนี้ มันก็ต้องมาที่นี่ เพราะมันมีทั้งบุญทั้งบาป แต่บอกพวกมันนะว่าลุงจะไม่คอยแล้ว พวกมันประมาทมาก มันถือว่าพ่อสร้างตาข่ายไว้หลายชั้น มันถึงได้ประมาทกันขนาดนี้"

ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าไม่กล้าพูด ข้าพเจ้าไม่ขอพูด ท่านบอกให้ใช้คำพูดแบบนี้ ท่านสอนมาว่า "ให้บอกพวกมันว่า ถ้าพวกมันยังขืนประมาทอย่างนี้ลุงจะไม่คอย ลุงจะไปแล้วนะ เพียงแต่พูดแค่นี้ คนที่มันฟังมันจะรับความรู้สึกได้เอง" ข้าพเจ้าก็รับปาก

แล้วเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นหมดเวลา ข้าพเจ้าก็กลับมา ลงมาตามเคย โง่อีกตามเคย จะขอพระท่านอยู่ข้างบน เสร็จแล้วเวลาก็หมดจนได้ ก็มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งก็คือข้างล่างนี่เอง

การขึ้นไป ๒ วันนี้ ความสุขจะต่างกันมาก วันแรกจะมีความสุขมาก มากถึงขนาดที่ว่าไม่เคยได้รับมาก่อน แต่วันที่ ๒ จิตกับขันธ์๕นี้ มีความรู้สึกยังต่อเนื่องกันอยู่ตลอด รู้สึกตลอด ว่าเราทำอะไร แม้กระทั่งเกิดปีติ มีอยู่ตอนหนึ่งพระท่านตรัส องค์ปัจจุบันท่านตรัสเราเกิดปีติขึ้นมา จะมีขนลุกทางร่างกาย ไขสันหลังจะมีขนลุกขึ้นมาก ท่านบอก ให้ตัดปีติออกไปให้หมด แล้วเราก็จะร้องไห้ตอนแม่ศรีเข้ามากอดแล้วลูบหัวว่า "ไม่เสียแรงที่เป็นลูกแม่" ตอนนั้นมัอยากจะร้องไห้ออกมา ก็ถูกท่นดุว่าไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งร้องไห้ แต่ถ้าเราตัดไอ้ตัวนี้ออกไป ข้างบนจะยิ่งมีความสุขใหญ่ อันนี้เองมั้งที่ท่านบอกไม่ให้เราห่วงร่างกาย ไม่ให้เราห่วงขันธ์ ๕

การที่ข้าพเจ้าได้เขียนมานี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้คนมากก็ดีน้อยก็ดี ข้าพเจ้าเองนี้ไม่ได้คิดจะโอ้อวดตัวเอง ไม่เคยคิดที่จะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่เคยที่จะคิดว่าการปฏิบัตินี้จะปฏิบัติเพื่อตัวเองให้พ้นนรก อย่างน้อย ๆ เราก็จะขอสอนลูก จะขอช่วยลูกช่วยสามีให้เขาเห็นทุกข์เหมือนเรา เราเห็นทุกข์ก็อยากให้เขาเห็นด้วย ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน

สิ่งที่พูดมานี้หรือเขียนมานี้ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียน คำพูดและวาจาอาจจะกระท่อนกระแท่นไม่ไพเราะรื่นหู ขอกราบอภัยทุก ๆ ท่านด้วย แต่ส่วนไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาต่อผู้คนที่จะพึงปฏิบัติ ก็ขอให้ส่วนนั้นเป็นความดียกให้กับเจ้าอาวาส ก็คือ หลวงพี่อนันต์ หลวงพี่ทุกองค์ที่อยู่ในวัด ที่ท่านจัดงานนี้ขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่รู้จะสนองคุณท่านอย่างไร กำลังกายร่างกายของข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยแข็งแรง กำลังทรัพย์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนชาวบ้าน ก็เลยคิดว่ากำลังใจคือกำลังจิตที่ฝึกนี้จะขอเอาส่วนนี้สนองคุณท่าน เป็นคุณงามความดีที่จะถวายท่านและก็จะขอรับใช้พระศาสนาถ้ามีบุญวาสนาพอ

ประไพ สุนทราณู
๔๖๗/๒๘ จรัลสนิทวงศ์ ๓๕
แขวงบางขุนศรี อ.บางกอกน้อย
กรุงเทพฯ

กลับหน้า 5ไปหน้า 7Copyright © 2001 by
Amine
31 ก.ค. 2544 13:29:10