โดยเสด็จพระราชกุศล .. ๓

พิมพ์โดย คุณสมชายและพี่สาว

เรื่องอื่น ๆ ผสม

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ ก็มาคุยกันเรื่องกฎของกรรม ไอ้คำว่า กรรมนี่บรรดาท่านทั้งหลาย แปลว่า ทำ มันมี ๒ อย่าง กรรมดีกับกรรมชั่ว ถ้าเราทำกรรมชั่วก็มีผลเป็นทุกข์ ทำกรรมดีก็มีผลเป็นสุข มีบางท่านบอกว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ ไอ้เรื่องนี้อาตมาก็ไม่เถียงเพราะเถียงไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ก็สุดแล้วแต่ใครจะมีความเห็น แต่ว่าพระพุทธเจ้า บอกว่า ไม่สูญ

อย่างในเรื่องทศชาติ พระพุทธเจ้าบอกว่าตรัสมาแล้ว ๑๐ ชาติ คือ เกิดมาแล้ว ๑๐ ชาติ ถอยหลังไปหลายร้อยชาติ หลายพันชาติ หลายแสนชาติ ท่านก็เกิดมาเรื่อย ๆ ก็เป็นคนกันเรื่อย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าตายแล้วมีสภาพไม่สูญ มันต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ทำกรรมดี กรรมดีให้ผลไปเป็นสุข ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วให้ผลไปเป็นทุกข์ มีคนมาแย้ง ท่านจดหมายมาบ้าง ท่านมาพูดบ้าง ว่าคณาจารย์บางท่านว่าตายแล้วสูญ ก็บอกว่า ช่างเขาเถอะ อย่าไปคิดว่าท่านผิดหรือท่านถูก ใครคิดอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น อาตมาก็ขอคิดตามพระพุทธเจ้าเพราะเป็นสาวกของท่าน บวชมาในพระพุทธศาสนาเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้ามีความรู้จริง สงเคราะห์คนได้จริง เราเชื่อ ในเมื่อเราเชื่อแล้วเราก็ใช้ปัญญาดูว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ลองศึกษาธรรมวินัย ทีแรกก็ศึกษาเฉพาะหนังสือก่อนก็สงสัย สงสัยตอนหนึ่งที่มีความสงสัยอยู่มาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมดว่า สัพพะ ปาปัสสะ อกรนัง จงแนะนำให้คนเว้นจากความชั่วทุกอย่าง กุสลสูป สัมปทา จงแนะนำให้คนทำแต่ความดี สจิตตะ ปริโยทปันนัง ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส เอตัง พุทธา น สาสนัง พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ในตำราเรียนเขาบอกว่า นิพพานสูญ ถ้านิพพานสูญจริง ๆ พระพุทธเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกัน ว่าองค์ก่อนตรัสอะไรไว้บ้าง อย่างยกตัวอย่างท่านบอกว่า พระพุทธกัสสปตรัสอย่างนี้ คนทำบุญถ้าไม่ชักชวนคนอื่น ตายแล้วไปเกิดใหม่จะมีอานิสงส์มาก รวยมากแต่ไม่มีพวกพ้อง แต่คนที่ไม่ทำบุญด้วยตนเองแต่ดีแต่ชักชวนเขา อย่างทายก ตายแล้วเป็นคนจนมีพวกพ้องมาก คนที่ทำบุญเองด้วยชักชวนคนอื่นด้วย ตายแล้วก็มีทรัพย์มาก รวยแล้วก็มีพวกพ้องมาก ถ้าไม่ชักชวนเขาด้วยไม่ทำบุญเองด้วย อย่างอานันทเศรษฐี ตายแล้วเป็นคนจนด้วยและหาพวกพ้องไม่ได้ ขาดคนเมตตาปรานี


ประดิษฐาน ณ มูลนิธิอุบลธรรมรังสี ถ.พุทธมณฑลสาย 4

เป็นอันว่า พระพุทธเจ้ายืนยันอย่างนี้ อาตมาก็คิดว่าถ้าเราจะเรียนแต่หนังสืออย่างเดียวก็คงจะมีผลน้อย ไม่หมดความสงสัยต้องการค้นคว้าพระพุทธศาสนาต่อไปจะหันเข้าหาทางปฏิบัติ คือ ปฏิบัติน่ะปฏิบัติมาแล้ว แต่เอาแบบจริงจังกัน หลักสูตรพระพุทธศาสนามีเท่าไร มี ๔ อย่าง คือ

๑. สุกขวิปัสสโก
๒. เตวิชโช
๓. ฉฬภิญโญ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ค่อย ๆ ปฏิบัติมาทุกอย่าง ตั้งแต่สุกขวิปัสสโกขึ้นมา ถึงเตวิชโช ฉฬภิญโญ ถึงปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ทำได้อย่างเป็ด คำว่าเป็ด หมายความว่า ไก่เดินได้เป็ดก็เดินได้ ไก่ร้องได้เป็ดร้องได้ ปลาว่ายน้ำได้เป็ดก็ว่ายน้ำได้ นกบินได้เป็ดก็บินได้ แต่บินได้ไม่สูง ไม่เท่าเขา ถึงกระไรก็ดียังพอมีเค้า เมื่ออยากจะเดินก็เดินได้ อยากจะพูดก็พูดได้ อยากจะว่ายน้ำก็ว่ายน้ำได้ อยากจะดำน้ำก็ดำน้ำได้ เป็ดดำน้ำได้แต่ไม่หมดตัวก็ยังดีกว่าคนที่ดำน้ำไม่ได้เลย ก็รวมความว่า ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อตรวจสอบคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่ได้รับคือว่า ตามพระสูตรก็ดี ตามชาดกก็ดี ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้จริงทุกอย่าง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญและแถมตัวเองก็เกิดมาตายเสียด้วย ตายเสียหลายครั้ง ถ้าอยากจะทราบประวัติความเป็นจริงในการตายให้ดูหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมีอยู่แต่เป็นส่วนย่อ ในหนังสือมโนมยิทธิและประวัติของข้าพเจ้าอันนี้จะรู้ว่าตายหลายครั้ง เมื่อตายทีไร ปรากฏว่ามีภพเป็นที่ไปทุกที มันมีสภาพไม่สูญ มันจะสูญอยู่ตัวเดียวคือร่างกาย ร่างกายมันจะเน่า มันจะเปื่อย อาศัยตายแล้วเกิดไวจึงไม่เน่าไม่เปื่อย ทีนี้เราก็มาคุยกันต่อไป เรื่องกฎของกรรม

วันนี้ก็จะคุยเรื่อง โพธิราชกุมาร โพธิราชกุมาร นี่คำว่ากุมารนี่ยังไม่เป็นกษัตริย์ หมายความว่า เป็นลูกของกษัตริย์ แต่เป็นคนมีนิสัยเสีย ตรงนี้จะทิ้งไว้ก่อน เธอมีเมีย มีเมียมาตั้งหลายปีแต่ไม่มีลูก ก็อยากจะมีลูกมันก็ไม่มี วันหนึ่งทราบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ ๆ สถานที่นั้นจึงส่งคนไปนิมนต์พระพุทธเจ้า เมื่อคนนิมนต์ พระพุทธเจ้าทรงรับแล้ว ก็สั่งให้ปูผ้าตั้งแต่พระราชฐาน คือ วัง ตั้งแต่วังที่อยู่มาถึงหน้าประตูวัง ปูผ้าขาว คิดในใจว่าถ้าเราจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์เดินบนผ้าขาว ถ้าเราจะไม่มีลูกก็ขอให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์จงไม่เดินบนผ้าขาวที่ปูไป ตอนเช้าองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ จงเผดียงสงฆ์ คือ จงนิมนต์พระ ประกาศให้พระทราบว่าวันนี้ตถาคตจะไปฉันพร้อมกับพระที่วังของโพธิราชกุมาร เมื่อพระพร้อมแล้ว พระอานนท์ ก็นำ พระพุทธเจ้าก็นำทางมา พอมาถึงประตูวัง พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอจงให้เขารื้อผ้าขาวเสีย ตถาคตจะไม่เดินบนผ้าขาว พระอานนท์ก็บอกเจ้าหน้าที่ให้รื้อผ้าขาวออก เพราะว่าพระพุทธเจ้าจะไม่เดินบนผ้าขาว เมื่อเขารื้อผ้าขาวแล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าไป เข้าไป โพธิราชกุมารก็ถวายภัตตาหาร พอถวายนมัสการเสร็จตามพิธีกรรม

เมื่อถวายภัตตาหารเสร็จ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะโมทนา เขาจึงเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าว่า ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าก็ถามว่าก่อนที่จะปูผ้าขาวน่ะเธอคิดอย่างไร โพธิราชกุมารก็ตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้าจะมีลูกขอให้พระองค์กับพระเดินบนผ้าขาว ถ้าจะไม่มีลูกก็จะไม่เดินบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าก็ว่า เพราะเธอจะไม่มีลูก ตถาคตจึงไม่เดิน เขาก็ถามว่าเพราะอะไรเป็นเหตุ พระพุทธเจ้าบอกว่า ในสมัยชาติก่อน เธอเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นพ่อค้าสำเภา ต่อไปเรือแตกก็ขึ้นไปบนเกาะ ไม่มีอาหารจะกินก็เห็นรังนกรังหนึ่ง มันมีไข่ก็กินไข่ กินไข่หมดก็ยังหิวอยู่ ต่อไปก็กินลูกนก ต่อไปก็กินพ่อนกกับแม่นก พระพุทธเจ้าตรัสว่า โพธิราชกุมาร อาศัยที่เธอไม่เว้นทั้ง ๓ กาล คือ กินไข่ด้วย กินลูกนกด้วย กินพ่อนกแม่นกด้วย ในชาตินี้ทั้งชาติเธอจะไม่มีลูก ถ้าเธอกินแต่เฉพาะไข่นก ไม่กินลูกนกกับพ่อนกแม่นก ในสมัยที่เป็นหนุ่มเป็นสาวรุ่น ๆ เธอจะไม่มีลูก ถ้าย่างเข้ายี่สิบปีเศษจะมีลูก ถ้าเธอกินลูกนกแต่ไม่กินพ่อนกแม่นก อายุ ๓๐ ปีเศษ จึงจะมีลูก ที่เธอกินทั้งไข่ ทั้งลูกนก ทั้งพ่อนกแม่นก ชาตินี้ทั้งชาติเธอไม่มีลูก ในปฐมวัยก็ไม่มีลูก ในมัชฌิมวัยก็ไม่มีลูก ตอนแก่ก็ไม่มีลูก หาลูกไม่ได้ หลังจากนั้นสมเด็จพระจอมไตร ก็ตรัสโมทนา

เป็นอันว่า โพธิราชกุมาร นี่ท่านทั้งหลาย เป็นคนที่ใจเหี้ยม มีอารมณ์อิจฉาริษยาคน ขาดความเมตตาปรานี ดูตัวอย่างชาติก่อน แม้แต่นกเธอก็ไม่เว้น กินไข่ไม่เป็นไร ยังกินลูกนกด้วย กินพ่อนกแม่นกด้วย ฉันใด นิสัยนี่มันละไม่ได้ มาชาตินี้ก็เช่นเดียวกันเธอก็ยังมีนิสัยเลวตามนั้น หมายความว่า หลังจากนั้นมา โพธิราชกุมาร ก็ตั้งใจจะสร้างปราสาทสักหลังหนึ่ง ถ้ามองดูจากที่ไกลจะเห็นว่าเหมือนลอยอยู่ในอากาศ จึงหาช่างมา ได้แล้วช่างก็ลงมือทำงาน เธอก็ปรึกษากับเพื่อนว่า ถ้าปราสาทนี้เสร็จเราจะฆ่าช่างเสีย พอดีเพื่อนที่เป็นเจ้าด้วยกันทราบความก็มาบอกกับนายช่าง บอกว่าถ้าโพธิราชมาถามจงอย่าบอกว่าเสร็จนะ ถ้าบอกว่าเสร็จเมื่อไรเธอตายเมื่อนั้น ทั้งนี้เพราะโพธิราชเป็นคนเห็นแก่ตัว อยากจะดีอยากจะเด่นกว่าคนอื่น ถ้าเธอสร้างปราสาทหลังนี้เสร็จมองจากที่ไกลจะเห็นว่าดูเหมือนลอยอยู่ในอากาศ ก็เกรงว่าเธอจะไปสร้างให้คนอื่นอีก นายช่างก็รับทราบ ต่อมาโพธิราชกุมารก็ไปถามเรื่อย ๆ ว่าช่างเสร็จหรือยัง ช่างเสร็จหรือยัง บอกว่ายังไม่เสร็จ ต่อมาเมื่ออาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายช่างก็คิดว่า ถ้าเราบอกว่าเสร็จ เราก็ตาย จะหาอุบายใหม่ จะทำหงส์ยนต์ จึงบอกกับโพธิราชกุมารว่า ต่อนี้ไปต้องการไม้เบา ๆ ขอให้คนหาไม้แห้ง ๆ และเบา ๆ มาให้ และการทำอย่างนี้เป็นการทำที่ละเอียดอย่างยิ่งขออย่าให้มีคนเข้ามานอกจากข้าพุทธเจ้าจะบอกต้องการใคร พระองค์เองก็อย่าเสด็จเข้ามา เพราะเกี่ยวกับการใช้สมองมาก ต้องคิดมาก ถ้าพลาดนิดเดียวจะไม่สำเร็จ ถ้าเขาถามว่าจะทำอะไร บอกว่า จะนำหงส์เกาะไว้บนหลังคาเป็นพิเศษ ซึ่งจะไม่มีใครทำได้เลย

โพธิราชกุมาร ก็ชอบใจ สั่งให้เจ้าหน้าที่หาไม้แห้ง ๆ เบา ๆ มาให้ เขาก็พยายามทำหงส์ยนต์ หงส์ยนต์ก็ไม่เหมือนเครื่องบินเครื่องบินมีเครื่องยนต์ นี่เป็นไม้ ทำเครื่องยนต์ไม่ได้ ต้องชักโยก พอโยกไปโยกมา ปีกก็จะกระพือบินไปในอากาศ เมื่อทำเสร็จ เขาก็บอกโพธิราชกุมารว่า จวนจะเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ ต่อนี้ไปก็มีความสำคัญ ขอให้ครอบครัวของข้าพุทธเจ้านำของกินของใช้มาด้วย เข้ามาในนี้เฉพาะครอบครัว คนอื่นเข้ามาไม่ได้ เพราะมีงานที่จำเป็นจะต้องช่วยกันเพราะลูกเต้าก็เป็นช่าง งานละเอียดมากทำคนเดียวไม่ไหว ในเมื่อครอบครัวเข้ามาแล้ว นำอาหารเสบียงกรังเข้ามาเสร็จเตรียมหนี ก็ให้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องหงส์ยนต์หนีออกไปในอากาศ หงส์บินไปในอากาศไปลงที่หิมวันตประเทศ ในหิมวันตประเทศเวลานั้นมีคนเป็นกลุ่ม ๆ อยู่มีหัวหน้ากลุ่ม แต่ทว่าไม่มีกษัตริย์เห็นนายช่างมีบุญมาก สามารถนั่งหงส์ยนต์ได้ ทำหงส์ยนต์ได้เหาะไปในอากาศแล้วก็ลงมา ก็คิดว่าคนนี้มีบุญมากก็ยกย่องให้เป็นกษัตริย์ ในหิมวันตประเทศ

นี่ละบรรดาพุทธบริษัท คำว่า นิสัยน่ะมันทิ้งไม่ได้ กิเลสสามารถละได้แต่นิสัยละไม่ได้ นิสัยโพธิราชกุมารเมื่อสมัยชาติก่อนเป็นคนมีนิสัยเลวฉันใด เห็นแก่ตัว กินไข่นก กินลูกนก กินพ่อนกแม่นก ชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน ให้นายช่างทำงานแล้วก็จะฆ่าช่างเกรงว่าจะไปทำให้แก่คนอื่น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายขึ้นชื่อว่า กฏของกรรม เวลายังเหลืออยู่ก็พูดถึงกฎของกรรมต่อไป จะมาคุยกันถึงเรื่องของคนขอทาน คือ สุปปพุทธกุฏฐิ สมัยชาติก่อนเป็นอย่างไรปล่อยไว้ก่อนนะเอาชาตินี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอเกิดมาเป็นขอทานด้วยเป็นโรคเรื้อนด้วย วันหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นนิสัยของสุปปพุทธกุฏฐิว่าจะเป็นโสดาบัน ก็ทราบว่าเธอจะไปขอทานตามเส้นทางนั้น จึงเสด็จไปประทับอยู่ระหว่างทาง มีคนไปเฝ้ามาก พระองค์ทรงเทศน์ เวลานั้นก็เป็นเวลาพอดีที่สุปปพุทธกุฏฐิไปเพื่อจะขอทานพอดี เห็นองค์สมเด็จพระชินสีห์เทศน์ ก็นั่งอยู่ห่าง ๆ คน สมเด็จพระทศพลก็ทรงบันดาลให้เสียงของพระองค์ฟังชัด เมื่อฟังเทศน์จบ เธอก็เป็นพระโสดาบัน

พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับ คนอื่นก็กลับ สุปปพุทธกุฏฐิก็กลับ สุปปพุทธน่ะเป็นชื่อ กุฏฐิ แปลว่า โรคเรื้อน ขอท่านที่มีโรคเรื้อนขอได้โปรดทราบว่าเวลาพูดนี่ไม่มีหนังสือมาหรอกนะเอาแค่ความจำ เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วเธอก็มีความคิดว่า วันนี้เธอฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เราเป็นพระโสดาบัน ถ้าพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าคนอย่างเรา ๑เป็นขอทานด้วย ๑เป็นโรคเรื้อนด้วย ได้เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าคงจะดีใจมาก ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปกราบทูลให้ทรงทราบว่าตนเองเป็นพระโสดาบัน ขณะที่ออกจากบ้าน จากที่อยู่ ขอทานนี่ที่อยู่ไม่ใหญ่โตนักก็เดินไป ระหว่างทางพระอินทร์อยากจะลองใจ จะลองดูว่า สุปปพุทธกุฏฐิ นี่จะเป็นพระโสดาบันจริงหรือไม่ ก็ลองลงมาขวางหน้าในภาพของพระอินทร์ชัดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงถามว่า สุปปะขี้เรื้อน ถามว่า สุปปพุทธกุฏฐิ เธอจะไปไหน เธอก็บอกว่าฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ถามว่า เธอจะไปเฝ้าทำไม สุปปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า จะไปกราบทูลให้ทรงทราบว่าเมื่อวานฉันได้ฟังเทศน์จากท่าน เวลานี้ฉันได้พระโสดาบันแล้ว และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงทราบจะได้ดีใจว่าคนเป็นโรคเรื้อนด้วย เป็นขอทานด้วย ฟังเทศน์แล้วเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์อยากจะลองใจก็ถามว่า สุปปพุทธกุฏฐิ เธอน่ะเป็นพระโสดาบันแน่รึ เขาก็ตอบว่าแน่ ถ้าแน่หรือไม่แน่ลองอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เวลานี้เธอเป็นขอทาน มีความยากจนมาก เช้าก็ต้องไปขอทาน เย็นก็กลับ เช้าก็ต้องไปขอทาน เย็นก็กลับ ประการที่ ๒ เธอก็เป็นโรคเรื้อน คันทั้งตัวเจ็บทั้งตัว เป็นที่รังเกียจของคน ถ้าเธอพูดตามฉันพูด พูดเฉย ๆ ก็ได้โดยไม่ต้องตั้งใจ สุปปพุทธกุฏฐิก็ถามว่าจะให้พูดอย่างไร

พระอินทร์ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก่อน ถ้าเธอพูดตามฉันพูดจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ ไม่บังคับ เมื่อพูดจบฉันจะบันดาลให้โรคเรื้อนเธอหาย มีร่างกายสวย และจะบันดาลทรัพย์ให้หล่นมาจากอากาศ เธอจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนี้ สุปปพุทธกุฏฐิก็ดีใจถามว่า จะให้พูดอย่างไร พระอินทร์ก็บอกว่า พูดเฉย ๆ นะ

๑. พระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
๒. พระธรรม ไม่ใช่พระธรรม
๓. พระสงฆ์ ไม่ใช่พระสงฆ์

เอาแค่นี้แหละ พูดเฉย ๆ ไม่ตั้งใจก็ได้ สุปปพุทธฟังแล้วก็ไม่พอใจ เพราะพระโสดาบันยังมีความโกรธ ก็ชี้หน้าว่า พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป ทำไมจึงมาแนะนำถ้อยคำจังไรแบบนี้ ตามธรรมดาพระโสดาบันนี่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง ไม่สงสัยและมีศีล ๕ บริสุทธิ์ จงถอยไป ท่านบอกว่าเราคนจน เราจนแต่เพียงโลกีย์ทรัพย์ แต่อริยทรัพย์ของเรามีมาก ถึงแม้ว่าเราจะเป็นโรคเรื้อนก็ไม่มีความหมาย ร่างกายไม่มีความหมาย ต่อไปเราจะมีความสุข มีสวรรค์เป็นที่ไป เมื่อพระอินทร์ลองแบบนี้แล้วฟังแบบนี้แล้วก็มีความมั่นใจว่า สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันแน่ ท่านก็หายไป สุปปพุทธกุฏฐิก็ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ไปไม่ทันถึง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเพราะว่า สุปปุทธกุฏฐิ ผู้ที่สร้างกรรมชั่วไว้มาก ๑๐๐ ชาติที่ผ่านมา ใน ๑๐๐ ชาติที่ผ่านมา สุปปพุทธกุฏฐิเป็นลูกมหาเศรษฐีพร้อมกันเพื่อนอีก ๓ คน นำหญิงโสเภณีเข้าไปในป่า จ้างเธอว่าถ้าเธอบริการฉันตลอดวัน ฉันจะให้เงินเธอหนึ่งพัน กหาปนะ คำว่า กหาปนะในสมัยนั้นเท่ากับ ๔ บาท หรือหนึ่งตำลึง หนึ่งพันกหาปนะเท่ากับสี่พันตำลึง ถ้าเทียบกับเงินสมัยนี้ก็เป็นล้าน หญิงนั้นก็ยอม เธอเป็นโสเภณีอยู่แล้ว ในเมื่อจะได้สตางค์มาก ๆ เธอก็ยอม ในเมื่อกิจการสำเร็จก็ถึงตอนเย็น คนสี่คนก็มาปรึกษากันว่าในที่นี้ไม่มีใคร ในป่าชัฏ เงินที่เราให้หญิงโสเภณีนี้ หนึ่งพันกหาปนะเราจะเอาคืนมา และเครื่องประดับที่ให้เธอและที่เธอมีอยู่ เราก็จะเอา แล้วต่างคนต่างช่วยกันฆ่าเธอให้ตาย การปรึกษานี้หญิงคนนั้นได้ยิน จึงมีความคิดว่าชาย ๔ คนนี่เลวมาก ให้เราบริการความสุขของเธอสิ้นเวลาตลอดวันและยังให้เงินพันกหาปนะจะเอาคืนด้วย จะเอาเครื่องประดับคืนด้วย และจะฆ่าเราให้ตาย ถ้าเธอฆ่าเรา เราจะรู้กฎของกรรมที่ทำกับเธอ ฉะนั้นเมื่อเขาตกลงกันเสร็จ เขาจึงลงมือฆ่าหญิงโสเภณีคนนั้น

ขณะที่เขากำลังฆ่าอยู่ หญิงโสเภณี มีความรู้สึกว่า ถ้ายักษิณีมีจริง ขอเราจงไปเกิดเป็นนางยักษิณี แล้วฆ่าชายทั้ง ๔ คนนี้ทุกชาติที่เกิดเป็นอันว่า สุปปพุทธกุฏฐิไปเฝ้าพระพุทธเจ้าคราวนั้นก็ไม่ทันจะถึงถูกนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย เมื่อเขาตายไปแล้วข่าวก็ไปถึงองค์สมเด็จพระประทีปแก้วและพระสงฆ์ทั้งหลาย พระสงฆ์ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ อยากทราบว่า ผลของการที่สุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไรพระพุทธเจ้าข้าเมื่อตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า อาศัยที่เขาเป็นพระโสดาบัน เวลานี้เขาไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑ พันเป็นบริวาร พระก็ถามว่า เพราะกรรมอะไรเขาจึงเป็นโรคเรื้อน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เพราะอาศัยที่เขาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งท่านเป็นโรคเรื้อน ก็ถ่มน้ำลาย แสดงความรังเกียจ เขาจึงเป็นโรคเรื้อนตลอด ๑๐๐ ชาติ เขาถูกนางยักษิณีฆ่าอย่างนี้สิ้น ๑๐๐ ชาติแล้วนะ ทุกชาติที่เขาเกิดมานางยักษิณีก็แปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทั้ง ๑๐๐ ชาติที่ผ่านมา

พระถามต่อว่า อาศัยกฎของกรรมเดิมของเขาที่ทำไว้เขาจะพ้นกฎของกรรมไหม พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ในเมื่อเขาเป็นพระโสดาบัน กรรมใด ๆ ที่จะให้ผลในอุบายภูมิย่อมไม่มีอีก หมายความว่า นางยักษิณีก็ฆ่าสุปปพุทธกุฏฐิกับเพื่อนได้ ๑๐๐ ชาติ จากชาตินี้ไปแล้วก็หมดกันเป็นอันว่า เขาเป็นพระโสดาบันแล้วก็พ้น นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เสียงก็ไม่ดี มันเหนื่อยมาก ยังไม่สบาย แต่ว่าชื่อว่ากฎของกรรมนิดหน่อยอย่าเพิ่งคิดว่าเล็กน้อย มันย่อมให้ผลทุกอย่าง กรรมดีก็ให้ผลดี เขาเป็นพระโสดาบันเขาเป็นเทวดา กรรมชั่วที่ทำมาก็ถูกนางยักษิณีขวิดแปลงเป็นวันแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเวลานี้เรากำลังจะทำกรรมดี คือ สนับสนุนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ร่วมทานกับท่าน ท่านทำที่ไหนเราไปไม่ได้ก็ฝากเงินไปกับท่าน กรรมทั้งหลายที่เป็นกรรมดีทั้งหมดจะปรากฏกับเราต่อไปในภายหน้า

ท่านทั้งหลาย เวลาหมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
โดยเสด็จพระราชกุศล ( ๒ )สาตะกีเทพธิดาCopyright © 2001 by
Amine
23 พ.ย. 2547