สาตะกีเทพธิดา

พิมพ์โดย คุณสมชายและพี่สาว

ท่านผู้อ่านทั้งหลายหรือท่านผู้ฟัง วันนี้จะมาคุยกันเรื่องนางเทพธิดาดอกบวบขม คือ สาตะกีเทพธิดา เรื่องสาตะกีเทพธิดามีเรื่องราวมาดังนี้ ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เวลานั้น ปรากฏว่าสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูที่เป็นพระอรหันต์นิพพาน พระพุทธเจ้าจึงได้สั่งให้ทำเป็นสถูป คือ เป็นเจดีย์น้อย ๆ แล้วเอากระดูกฝังไว้ที่นั่น อยู่ใกล้ ๆ กับบ้านหญิงคนหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อตามบาลี แต่ชื่อของเธอคงมี หญิงคนนี้เป็นคนจนมาก ตอนเช้าก็ไปตัดฟืนในป่า ตัดฟืนได้ไม่มากพอแบกถึงบ้านได้ ตอนเย็นก็กลับบ้าน อาบน้ำอาบท่าเสร็จกินข้าวเสร็จ นำฟืนไปขายก็ค่ำ แต่ว่าเจตนาของเธอดี เธออยากจะทำบุญทำกุศลอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าอาศัยความจนบังคับ ความไม่ว่างบังคับ ไม่สามารถจะไปทำบุญได้ อย่างนี้ในสมัยนี้ปัจจุบันอาจจะมีมากเหมือนกัน เห็นเขาทำบุญก็มีความชื่นใจอยากจะไปทำบุญตัวเองก็จน ตอนเช้ากินข้าวแล้วตัวเองต้องไปตัดฟืน ห่อข้าวไปกินด้วย ตอนเย็นพอตัดฟืนเสร็จก็กลับ แบกฟืนกลับ เย็นกว่านั้นหน่อยก็นำฟืนไปขาย มันก็พอกินไปวัน ๆ หนึ่ง จะเหลือบ้างก็เล็กน้อย อาศัยที่เป็นคนจนคงกินกับข้าวไม่มาก จะมากก็คือข้าว จะขยักสตางค์ไว้ มาวันหนึ่งเธอไปตัดฟืน เห็นดอกบวบขมบานจ้า มีสีเหลืองคล้ายจีวรพระก็เกิดศรัทธาขึ้นมาในใจว่า ดอกบวบขมนี้มีสีคล้ายจีวรพระ เมื่อเวลาเรากลับเราจะนำดอกบวบขมนี้ไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุกระดูกพระอรหันต์ พอตอนเย็นตัดฟืนเสร็จเธอเดินผ่านมาก็ตัดเอาดอกบวบขมมาพอดี ถือเอากลับบ้านด้วยเมื่อกลับมาบ้าน ขายฟืนเสร็จอาบน้ำอาบท่าเสร็จ กินข้าวกินปลาเสร็จ จึงตั้งใจว่าวันนี้ทั้งชีวิตเราเกิดมาเราไม่เคยทำบุญ สมัยนี้เป็นสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก มีพระอรหันต์มาก ชาวบ้านเขาฟังเทศน์กันเขาไปทำบุญกัน เรามันจนไม่สามารถจะทำได้ แต่ว่าวันนี้เรามีโอกาสได้ทำ เราจะนำดอกบวบนี้ไปบูชากระดูกพระอรหันต์ เมื่อคิดแล้วก็แต่งตัวให้เรียบร้อยตามเท่าที่พึงมี ถือดอกบวบขมไปถึงประตูรั้วบ้าน ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งเวลานั้นนางยักขินีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวัดเธอถึงแก่ความตาย แต่ว่าถ้าญาติโยมจะถามว่าเพราะอะไรนางยักขินีจึงขวิด ก็ขอตอบว่าไม่ทราบเหมือนกัน ทางบาลีไม่ได้บอกว่าเป็นการจองเวรกันมาตั้งแต่ไหนก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน เธอตายทั้ง ๆ ที่จิตคิดจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ ก็ถือว่าเป็นสังฆานุสติกรรมฐาน


สถูปบรรจุพระเขี้ยวแก้ว จากสาธารณรัฐประชาชนจีน
คราวอาราธนาเพื่อนมัสการ ณ พุทธมณฑล เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546

ตอนนี้ญาติโยมฟังแล้วตั้งใจให้ดีนะ ฟังแล้วคิดตามด้วย เธอตั้งใจจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ เวลานั้นกำลังเดินไป นางยักขินีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดเธอถึงแก่ความตาย เธอตายพร้อม ๆ กับจิตคิดว่าจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ บุญเล็กน้อยเท่านี้เท่านั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นปัจจัยให้เธอไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวโลก เป็นนางฟ้ามีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร ทุกอย่าง เครื่องประดับของเธอก็ดี วิมานของเธอก็ดี สีเหลืองหมด ทั้งหมดเป็นสีทอง สวยสดงดงามมาก เธอมีความสุข เมื่อนึกถึงความเป็นอยู่ที่ในสมัยที่เป็นมนุษย์เห็นภาพที่เป็นมนุษย์ว่าเราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะทำบุญได้ พระพุทธเจ้าก็มี เราฟังเทศน์ไม่ได้ พระอรหันต์ก็มี เราฟังเทศน์ก็ไม่ได้ ใส่บาตรก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรจะใส่ ใจมันอยากจะทำบุญ นี่ว่ากันถึงใจนะ นี่เจตนาของเขาดี เขาตั้งใจคิดว่าจะทำบุญ ตั้งใจไว้เสมอ ต่อมาเมื่อพบดอกบวบขมก็ตั้งใจจะนำมาบูชาเจดีย์ที่เขาฝังกระดูกพระสาวกไว้ บังเอิญนางยักขินีขวิดตาย แปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อน เธอก็คิดว่า เออชีวิตมนุษย์มันมีความลำบากยากแค้นอย่างนี้ เวลานี้เราเป็นนางฟ้า มองดูวิมานก็สวยสดงดงามมีสีเหลืองอร่ามดูเครื่องประดับการก็มีสีเหลืองอร่างสวยสดงดงามมาก ก็คิดในใจว่าตายจากความเป็นคนมันดีกว่า เวลานี้เราเป็นนางฟ้า ความหิวก็ไม่มี อิ่มทั้งวัน ไม่ต้องกิน ความร้อนเกินไปก็ไม่มี เย็นเกินไปก็ไม่มี มันมีแต่ความสุข กิจการงานที่จะต้องทำ เช่น ตัดฟืนก็ไม่มี ไม่ต้องทำอะไรทุกอย่าง วิมานทั้งหมดก็สะอาดไม่มีฝุ่นละออง รั้วรอบขอบชิดของวิมานก็ดี นางฟ้าที่เป็นบริวารตั้งพันคนก็คอยเอาอกเอาใจ ไอ้งานที่จะใช้นางฟ้าก็หายากเพราะไม่เหมือนมนุษย์ รวมความว่าเธอมีความสุขเพลิดเพลินในทิพยสมบัติ

คืนวันนั้นบังเอิญพระโมคคัลลาน์ ความจริงพระโมคคัลลาน์ตามประวัติของท่านเวลาเจริญกรรมฐานพอจิตเป็นสุขก็ไปเที่ยวสวรรค์บ้าง ไปเที่ยวนรกบ้าง เจอะคนนั้นเจอะคนนี้ เจอะเทวดานางฟ้าที่เกิดใหม่ก็ถามว่ามาจากไหน เธอเคยทำบุญอะไรไว้ อย่างนี้เป็นต้น พ่อชื่ออะไร แม่ชื่ออะไร ญาติพี่น้องชื่ออะไร หรือว่าคนที่รู้จักเธอยังมีชีวิตอยู่ไหม ถ้าเขาตอบว่ามี ท่านก็จะนำเอาบุญกุศลที่เขาทำแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้าเป็นต้น มาบอกแก่ญาติให้ญาติมีความดีใจ ญาติก็มีความอิ่มใจว่า ญาติของเรามีความสุข ถ้าญาติของใครตกนรกเพราะกรรมอะไรก็นำมาบอกเช่นเดียวกัน เป็นการเทศน์ตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เพื่อให้ชาวบ้านมีความเข้าใจในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลาน์นี่เป็นพระที่มีความสำคัญ เป็นกำลังใหญ่ของพระพุทธเจ้า หมายความว่า คนที่จะมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาจากพระโมคคัลลามาก ถ้าท่านเที่ยวบอกเขาอย่างนั้น คืนวันนั้นพระโมคคัลลาน์หลังจากทำสมาธิพอสมควร พระอรหันต์ไม่ต้องทำอะไรมากเพราะจิตทรงตัวอยู่แล้ว ก็คิดว่าเวลานี้เราจะไปไหนก่อน ความรู้สึกก็บอกว่าควรจะไปสวรรค์ก่อน ก็ขึ้นไปบนสวรรค์ไปเที่ยวดูรอบ ๆ ของสวรรค์ ถ้าถามว่าสวรรค์นั้นกว้างหรือแคบก็ตอบว่ากว้างมาก อาศัยความเป็นทิพย์มันไปเร็วมาก ประเดี๋ยวก็ถึงนั่น ประเดี๋ยวก็ถึงนี่

ก็พอดีไปเจอะวิมานหลังใหม่มีสีเหลืองอร่ามเป็นทองคำ ความจริงวิมานเป็นทองคำนะ และมีเครื่องประดับทั้งหมดเป็นสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนกัน นางฟ้าผู้เป็นเจ้าของก็มีความสวยสดงดงาม มีเครื่องประดับเป็นทองคำเหมือนกัน มีสีเหลืองอร่ามหมด แก้วก็เหลือง เสื้อก็เหลือง ผู้นุ่งก็เหลือง เหลืองหมด เหลืองเข้ากับวิมาน ท่านก็สงสัยว่าเมื่อคืนที่แล้วมา เราก็มาที่ตรงนี้ แต่ว่าที่ตรงนี้มันเป็นที่ว่าง ไม่มีวิมาน แต่ว่าวันนี้มันมีวิมานเกิดขึ้น คงจะเป็นนางฟ้าที่เพิ่งมาเกิดใหม่ จึงได้เข้าไปใกล้วิมานและถามถึงเจ้าของวิมาน นางฟ้าผู้เป็นบริวารก็ไปแจ้งให้สาตะกีเทพธิดาทราบ สาตะกีเทพธิดาก็ออกมานมัสการท่าน ตั้งใจจะไหว้พระมานานแล้วมันไม่ได้ไหว้ อาศัยที่เป็นมนุษย์ ไหว้เหมือนกันแต่ไหว้ห่าง ๆ เพราะเป็นคนจน ไม่มีอะไรจะทำบุญ วันนี้ก็ดีใจได้ไหว้พระใกล้ ๆ เข้าไปใกล้ท่าน กราบลงไปใกล้ ๆ เท้าของพระโมคคัลลาน์ พอเงยหน้าขึ้นมานั่งพับเพียบพนมมือ พระโมตคัลลาน์ก็ถามว่า ภคินิ ดูก่อนน้องหญิง อาตมาอยากจะทราบว่าเธอเพิ่งจะเกิดใหม่ใช่ไหม เธอก็ตอบว่าใช่เจ้าค่ะ ท่านก็ถามว่าวิมานของเธอก็เหลืองเป็นทองคำ เครื่องประดับทั้งหมดที่เป็นแก้วก็ดีและอะไรก็ตามมันก็เหลืองหมด เครื่องประดับกายก็เหลืองร่างกายของเธอก็สวยมีรัศมีกายสว่างมาก อยากจะทราบว่าในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้สาตะกีเทพธิดายกมือขึ้นไหว้แล้วกราบว่าสมัยที่เป็นมนุษย์ฉันเป็นคนจนเจ้าค่ะ เป็นคนหาเช้ากินค่ำต้องตัดฟืนขายแล้วกิน ขายเขาได้แล้วได้เงินมาก็ซื้ออาหารกิน เช้าก็ต้องไป โอกาสที่จะทำบุญทำกุศลกับเขาไม่มีเลย ใจนะอยากทำบุญ อารมณ์เป็นกุศล แต่ทว่าจนมาก จนเกินกว่าคนอื่นเขาที่จะพึงจน ทีนี้มาเมื่อวานนี้ฉันไปตัดฟืนก่อนที่จะถึงป่าที่มีไม้ เห็นดอกบวบขมดอกหนึ่งบานไสว มีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ก็นึกในใจว่าดอกบวบขมนี่มีสีเหลืองคล้ายจีวรพระก็เกิดความเลื่อมใส ตั้งใจคิดว่าดอกบวบขมนี่สวยด้วยคล้ายจีวรพระด้วย ตอนเย็นกลับมาจะตัดไปบูชากระดูกของพระอรหันต์ที่เขาฝังไว้ใกล้ ๆ บ้าน เขาทำเป็นเจดีย์ไว้ เมื่อตั้งใจตามนั้นก็ทำตามที่กล่าวมาแล้ว ในที่สุด ก็ไม่ทันจะถึงถูกนางยักขินีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย พระโมคคัลลาน์เมื่อทราบดังนี้แล้วก็ยกมือสาธุการว่า ดีแล้ว ดีแล้ว น้องหญิงเธอทำความดี ถึงแม้จะเป็นผลเล็กน้อยก็ย่อมให้ผล ขึ้นชื่อว่ากฏของกรรม จะเป็นความดีก็ตาม จะเป็นความชั่วก็ตาม แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม ย่อมให้ผลเป็นปกติ แล้วพระโมคคัลลาน์ก็กลับเธอก็อยู่เป็นสุข

มาถึงเรื่องนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เวลามันยังมี ก็ขอคุยกันต่อไปว่า การทำบุญนั้น บรรดาท่านทั้งหลาย มันอยู่ที่ใจ ถ้าเจตนาของเราเป็นกุศล สมมติว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ตอนเช้าใส่บาตรแล้ว เราทำบุญแล้ว แต่ว่าก็คิดว่า หลังจากนี้วันพรุ่งนี้เราจะทำบุญด้วยอะไร เราจะหุงข้าวเราจะมีแกงอะไร ตั้งใจไว้เวลานี้มันก็เป็นบุญเหมือนกัน แต่ว่าบรรดาท่านสาธุชนทั้งหลาย หนึ่งวันพระทำบุญหนึ่งครั้ง หรือว่าสองวันพระทำบุญหนึ่งครั้ง ตามฐานะ ตามเวลาที่พึงให้ แต่ว่าเมื่อตั้งใจจะทำบุญขณะที่ตั้งใจอยู่เวลานั้นถือว่าจิตเป็นบุญถ้าบังเอิญไปตายเวลานั้นเข้า จิตก็เข้าที่เป็นบุญเป็นกุศล ดูตัวอย่างสาตะกีเทพธิดา อย่างน้อยไปสวรรค์เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า ทานัง สัคคโส ทานัง ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์ ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต จึงเอาจิตคิดจะทำบุญอยู่เสมอ คำว่าทำบุญในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความต้องใช้เงินใช้ทองใช้ของเสมอไป ประการแรกเรานึกถึงความตายว่าชีวิตนี้มันจะต้องตายมันไม่อยู่ตลอดรอดฝั่ง ไม่มีใครสามารถจะทรงร่างกายอยู่ได้ ในเมื่อถึงกาลสมัยเมื่อไรมันก็ตายเมื่อนั้น นึกถึงความตายแล้วเราก็ไม่ประมาทในชีวิตคิดว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะไม่สร้างความชั่ว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนที่ตายแล้วมันมีทางไปอยู่สองทาง คืออบายภูมิ กับ สวรรค์เป็นต้น ถ้าหากว่าเราคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว ตายจากความเป็นคนก็ไปนรก จากนรกก็มาเป็นเปรต จากเปรตมาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วมาเป็นคน ก็ยังเอาดีไม่ได้

ถ้าเราคิดดี คิดถึงบุญกุศล คิดยังไง คิดถึงบุญกุศล คือ หนึ่ง คิดถึงความตาย ในเมื่อเราจะต้องตาย เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะเชื่อพระพุทธเจ้า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ยอมรับนับถือพระธรรมเป็นที่พึ่ง ยอมรับนับถือพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง หลังจากนั้นแล้วก็ปฏิบัติตามโอวาทที่พระพุทธเจ้าให้ว่า ปาณาติปาตาเวรมณี เราจะเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราจะไม่ยอมฆ่าสัตว์ เราจะไม่ยอมทรมานสัตว์ ส่วนที่แล้วให้มันแล้วกันไป ไม่ต้องไปนึกถึงมัน มันฆ่าแล้วก็แล้วกันไป มันลักทรัพย์แล้วก็แล้วกันไป เลิกกัน เลิกคิดถึงอารมณ์ชั่วที่ผ่านมา แล้วตั้งต้นไว้แต่เฉพาะความดี ประการที่สองเราจะไม่ลักทรัพย์ จะไม่ขโมยทรัพย์ จะไม่ยื้อแย่งทรัพย์จะไม่คดโกงทรัพย์ของบุคคลผู้ใด นึกถึงใจเราใจเขาเราหวงแหนทรัพย์ฉันใดเขาก็หวงแหนทรัพย์ฉันนั้น ประการที่ สาม เราจะไม่ทำกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ละเมิดความรักใน สามี ภรรยาและบุตรธิดาของเขา คนที่มีสิทธิ์ปกครองเขาย่อมหวงแหนฉันใด เรากับเขาก็มีภาพเหมือนกัน สามีภรรยา บุตรธิดาของเรา เราก็รัก ไม่ต้องการให้ใครมาละเมิด เขาก็ไม่ต้องการให้เราละเมิดเหมือนกัน ในเมื่อเราไม่ละเมิดของเขา เขาก็ไม่ละเมิดของเราหรือเขาจะละเมิดของเราก็ช่างมัน เราไม่ละเมิดของเขาก็แล้วกัน อดใจไว้ ประการที่ สี่พูดตรงไปตรงมา ถ้าทางที่ดี การพูดควรจะละเว้นทั้ง ๔ อย่าง คือ หนึ่งพูดจริง สองไม่พูดคำหยาบ สามไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน สี่ไม่เพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ พูดเฉพาะเวลาที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว วาจาใดที่ไร้ประโยชน์เราไม่พูดตามนั้นอย่างนี้เป็นที่พอใจ ต่อไปเราจะไม่ดื่มสุราและเมรัย เพราะสุราและเมรัยเป็นเครื่องทำลายศักดิ์ศรี เราเคยมีศักดิ์ศรีดี มีเกียรติดีพอไปดื่มสุราเมรัยเข้า ไอ้สุราเมรัยมันทำให้จิตเมาลืมตัว ทำตนเหมือนคนบ้าเราไม่เคยร้องเพลงเราก็ร้องได้ เราไม่เคยส่งเสียงเอะอะโวยวายเราก็ทำได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสุรามันเมา การดื่มสุราอย่างเดียวย่อมทำลายสิ่งทั้งหมด ก็รวมความว่า เรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเพราะความดี สองยอมรับนับถือพระธรรม สามยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์ และสี่มีศีล 5 บริสุทธิ์ เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท สาตกีเทพธิดาสู้เราไม่ได้

เธอมีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร เราจะมีวิมานแก้ว บนสวรรค์เขาถือว่าวิมานทองคำเป็นเทวดาหรือนางฟ้าที่มีบุญน้อยที่สุด วิมานทองคำนะ แต่ว่าถ้ามีบุญมากขึ้นไปกว่านั้นต้องเป็นวิมานแก้ว ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นวิมานแก้ว นี่ถ้าบรรดาญาติโยมจะถามว่า มันเผลอบ้างจะเป็นไรไหม ก็ตอบว่าไม่เป็นไรเรื่องการเผลอผลั้งเป็นของธรรมดาเพราะมันชิน ถ้ามันเผลอไปแล้วก็ขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้าเสีย ตั้งใจใหม่ว่าเราจะไม่ยอมเผลอ แต่ใหม่ ๆ มันก็อดเผลอไม่ได้เป็นของธรรมดา เมื่อทำบ่อย ๆ มันก็เกิดอาการชิน ทีนี้เราก็มานั่งนึกความเป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนี้มีกำไรมาก ถ้ามีโอกาสทำบุญทำกุศลมาก มีโอกาสได้ฟังเทศน์มาก ได้รู้ความเป็นจริงมากเราก็มานั่งนึกว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันดีไหม ก็ดูความเป็นมนุษย์ของเรา ไม่ต้องไปดูของเขา โดยมากเรามักจะดูของคนอื่น โดยคิดว่าคนอื่นเขามีความสุข เราก็ดูเราเองก็แล้วกัน ถ้าเรามีความสุข เขาก็มีความสุข ถ้าเรามีความทุกข์ เขาก็มีความทุกข์ ก็นึกถึงกฎธรรมดาว่าคนเราทุกคนต้องแก่ไหม ความแก่มันเป็นสุขหรือ ความแก่มันเป็นทุกข์ ก็ต้องตอบได้แน่นอนว่าความแก่เป็นทุกข์ การคล่องตัวไม่มี หูฝ้าตาฟาง ฟันก็ไม่ดีเรี่ยวแรงก็หมดไป ปัญญาก็ทึบลงกายไม่มีความคล่องตัวมันเป็นทุกข์ ของที่เคยทำเองได้ก็ทำไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะแรงมันไม่มี ต้องอาศัยคนอื่นเขา ไอ้การยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจเป็นของไม่ดี ประการที่ สอง ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็ตอบได้ว่าความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ ประการที่สาม การพลัดพรากจากของรักของชอบใจมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็ต้องตอบว่าการพลัดพรากจากของรักของชอบใจมันเป็นทุกข์ ประการที่ สี่ความปรารถนาไม่สมหวังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ต้องตอบว่ามันเป็นทุกข์ ประการที่ห้า ถ้าถามว่าความตายจะเข้ามาถึงเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อย่าลืมว่าคนจะตายมีทุกขเวทนามาก มันต้องเจ็บปวดจนทนไม่ไหวจริง ๆ มันจึงจะตาย ไม่ใช่ตายแบบเฉย ๆ ถ้าตายแบบหัวใจวายเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร เส้นสมองแตกเส้นโลหิตใหญ่ในสมองแตกปุบปับอย่างนี้ไม่เป็นไร มันไม่มีเวทนามาก ถ้าไม่อย่างนั้น ตามปกติคนเราต้องตายตายก็มีทุกข์เวทนาอย่างหนัก

ก็มานั่งใคร่ครวญดูอีกทีว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ จะควรเกิดอีกไหม ถ้าเป็นคนที่จะฉลาดก็คิดว่าเราไม่ควรเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป เพราะมันมีแต่ความทุกข์ ถ้าเราหันไปดูนางฟ้าอย่างสาตะกีเทพธิดาเธอมีความสุขมาก ถ้าเราจะเป็นนางฟ้าบ้าง เทวดาบ้าง เราจะชอบใจไหม อันดับแรกก็ต้องขอตอบว่าชอบใจทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเทวดา นางฟ้ามีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ ความแก่ก็ไม่มีความหิดก็ไม่มี โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มี การเปลี่ยนแปลงของชีวิตไม่มี ร้อนเกินไปไม่มี หนาวเกินไปไม่มี อากาศก็เย็นสบาย เป็นสุข ร่างกายก็ไม่หิว ไม่ผอม ไม่อ้วน มีการทรงตัว จะไปไหนก็สบายนึกปั๊บถึงปุ๊บ ไม่ต้องใช้ยานพาหนะ ไม่ได้แบบสบาย ๆ ดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี อยู่ได้นานเท่าไร ขอตอบว่าอยู่ได้ไม่นาน หมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ กลับมาทุกข์ใหม่ ดีไม่ดีก็ไหลลงอบายภูมิหรือนรกไป เพราะบาปที่ค้างไว้ ดินแดนที่ดีที่สุดคืออะไรคือนิพพาน การไปนิพพานเป็นของดี จะไปได้อย่างไร ในเมื่อหนึ่งเรานึกถึงความตาย สองนึกถึงพระไตรสรณคมณ์ยอมรับนับถือ สามมีศีล ๕ บริสุทธิ์ อย่างนี้ล่ะมาได้ครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว การจะไปพระนิพพานอีกครึ่งเป็นของไม่หนัก ใช้กำลังใจเบา ๆ คิดว่ามนุษโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่สิ้นความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน หลังจากนั้นก็ทำจิตให้เป็นสังขารุเบกขาญาณ คือ วางเฉยต่อโลกทั้งสาม มนุษโลก เทวโลก พรหมโลกเราไม่ต้องการ เฉยไป โลกมันจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องโลก คนในโลกจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของคน เป็นกฎของธรรมดา เราก็เฉย ต่อไปในเมื่อความตายเป็นจุดที่จะเข้ามาถึงเรา เราก็เฉย คิดว่าถ้าจุติจากชีวิตนี้แล้วเราก็จะไปนิพพาน เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุก ๆ ท่าน เพียงเท่านี้ทุกท่านถ้าจะตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง ผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี


พระวิสุทธิเทพ ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗

โดยเสด็จพระราชกุศล ( ๓ )กากะเปรตCopyright © 2001 by
Amine
25 พ.ย. 2547