ไปสงเคราะห์ศิษย์ที่สำนักพระยายม

พิมพ์โดย คุณสมชายและพี่สาว

ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ และจะเล่าเรื่องความเป็นมาของวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ ให้ท่านฟัง

เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๐๘.๐๐ นาฬิกา ล้มตัวลงนอนจากการงาน เมื่อเซ็นหนังสือเสร็จตอนเช้า ถึงเวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา ก็ล้มตัวลงนอน นอนพร้อมกับคำภาวนาและพิจารณา ใช้อารมณ์จับอานาปานุสสติ ๒ ครั้ง จิตก็เรียบดีแล้วก็ใช้พิจารณาร่างกายเมื่อพิจารณาร่างกายเสร็จเห็นจิตสะอาดก็ตั้งใจจะไปเทวสภา จึงนมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วออกจากร่างกาย เมื่อออกจากร่างกายเห็นเทวดา นางฟ้ามากมายเห็นท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ และเทวดาทั้งหมดจำนวนมาก ท่านยืนอารักขาอยู่ ไปทั่วบริเวณวัด ก็บอกท่านว่า

“ ขอบคุณที่ให้การอารักขา ที่มีความเมตตาตลอดมา ”

แต่ว่าพอเหลียวไปทางด้านซ้ายมือ ก็ปรากฏว่าเห็นพระยายมกับนายบัญชีใหญ่ ท่านยืนยิ้มอยู่ จึงเดินเข้าไปหาท่าน ถามว่า

“ ท่านมีธุระอะไร ”

ท่านถามว่า

“ เวลานี้ท่านจะไปไหน ”

ก็เรียนให้ท่านทราบ บอกว่า

“ เวลานี้ต้องการจะไปเทวสภา ไปขอบคุณท่านผู้มีคุณทั้งหลายที่เมตตาสงเคราะห์ ”

ท่านก็เลยบอกว่า

“ วันนี้ผมมีงานสำคัญอยากจะนิมนต์ท่านไปสำนักงานของผมซะก่อน ”

ก็บอกว่า

“ ได้ เมื่อไปแล้วถ้าไม่หมดเวลาก็ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้ แต่ถ้าหมดเวลาก็เลิก ฉันเพล ”

เป็นอันว่าท่านก็นำไป พระยายมหันมาบอกว่า

“ ท่านจงอย่าเปลี่ยนร่างกาย อย่าใช้ร่างกายเป็นทิพย์ จงใช้ร่างกายในการเป็นพระไปอย่างนี้แหละ เพราะวันนี้มีธุระสำคัญ ”

จึงทำอย่างนั้น แล้วก็เดินตามท่านไป ครั้นเมื่อถึงสำนักพระยายมก็เห็นอาคารหลังใหม่เกิดขึ้นแต่อาคารนั้นมีเฉพาะหลังคาข้างล่างโปร่ง ข้างล่างมีแท่นหลายแท่น โปร่งใสมาก สวยสดงดงามมาก ท่านบอกว่า

“ วันนี้ท่านไม่ต้องเข้าสำนักงานพระยายม ท่านพักตรงนี้ก็แล้วกัน ”

และท่านก็นั่ง อาตมาก็นั่งกลาง พระยายมนั่งข้างขวา นายบัญชีนั่งข้างซ้าย หลังจากนั้นก็มีเทวดาหลายท่านที่ท่านอารักขาอยู่หรือยืนตามระเบียบก็ไม่ทราบ ท่านบอกว่า เท่าที่ท่านให้มาในวันนี้ “ มันมีคนอยู่พวกหนึ่งที่ตายจากความเป็นคน แต่ว่าจิตนึกถึงท่านตลอดเวลา ผมจึงให้เทวดานำมาไว้กลุ่มหนึ่งนอกจากบริเวณที่นายนิริยบาลเข้าคอยควบคุมคุ้มกันยืนอยู่ กลุ่มนั้นประมาณ ๑๒ คน ”

แล้วก็ชี้ไปที่กลุ่มนั้น เห็นเทวดาแต่งตัวสีแดง ๆ คุมอยู่ แต่การคุมก็ไม่มีอาวุธ ไม่มีท่าทางในการบังคับ เป็นเพียงว่าให้การอารักขาให้ เป็นการควบคุมให้อยู่ในของเขต

จากนั้นเมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระยายมก็บอกว่า

“ ปล่อยคนพวกนั้นมา ”

พอมีคำสั่งว่าปล่อย บรรดาท่านทั้งหลายก็คนทั้ง ๑๒ คนก็วิ่งกันพรวดพราดกันเข้ามา มาอย่างไม่เกรงใจใคร พอถึงข้างหน้าก็กราบ พอกราบเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาพนมมือบอกว่า

“ ผมเป็นลูกศิษย์ของท่านครับ ”

จึงได้ถามว่า

“ เป็นลูกศิษย์ของฉัน ทำไมถึงต้องมาที่นี่ ”

“ ผมเป็นลูกศิษย์จากหนังสือ ไม่เคยเห็นตัวท่าน ไม่เคยไหว้ท่านโดยตรง แต่อยู่ที่บ้าน ใจผมนึกไหว้อยู่เสมอ เวลาบูชาพระผมก็นึกถึง เห็นตามภาพหน้าเทปคาสเซทเสียง เขานึกถึง เอาภาพนั้นเป็นสำคัญ แต่ว่าภาพนั้นรู้สึกว่าจะหนุ่มกว่านี้หน่อย ”

ก็บอก “ ถูกแล้ว ภาพมันไม่แก่ คนมันแก่ได้ ”

เทวดาผู้ควบคุมก็เลยบอกว่า

“ เท่าที่นำมาที่นี่ และท่านพระยายมให้พัก นอกจากคนที่ควบคุมทั้งหลายก็เพราะว่าเวลาที่ไปรับขณะที่ก่อนที่พวกนี้จะตายไม่นึกถึงบุญ ไม่นึกถึงกุศล แต่ว่าใจก็ไม่นึกถึงบาป ทั้งนี้เพราะมีทุกขเวทนามาก แต่ว่าพอตายมาแล้ว เอาร่างกายเดินตามกันมา ต่างคนต่างก็บ่นถึงท่านต่างคนต่างรายงานว่า ผมเป็นลูกศิษย์ฤๅษีลิงดำครับ ฤๅษีลิงดำเป็นอาจารย์ผม ขอให้ท่านฤๅษีลิงดำมาช่วยผมด้วย ”

เทวดาผู้ควบคุมก็บอกว่า

“ เวลานี้ไม่ใช่เวลาของท่านฤๅษีลิงดำ ท่านฤๅษีลิงดำจะพบกับพวกเธอได้ต่อเมื่อไปที่สำนักพระยายมก่อน ”

แล้วเขาก็ถามบอกว่า

“ ที่สำนักพระยายมจะพบท่านได้อย่างไร ”

นั่นเป็นเรื่องหน้าที่ของพระยายม ท่านถามว่า

“ ตายพร้อมกันหรือ ”

เทวดาก็บอกว่า

“ ไม่พร้อมกัน พวกนี้ทั้งหมดคอยท่านอยู่ที่นี่ ๒๐ วันมนุษย์ ที่ต้องให้เสียเวลามากเพราะว่ารอ เพราะทราบว่าพวกนี้จะหมดอายุรอให้มาพร้อม ๆ กัน ”

ท่านดูแล้วในระยะเวลาเท่านี้ ไม่ถึงเวลาจะสอบสวนให้สอบสวนคนอื่นไปก่อน พระยายมก็บอกว่า

“ ถ้าสอบสวน มันก็มีหน้าที่ปล่อย แต่ก่อนจะปล่อย ผมต้องการให้พบท่านเสียก่อน เพื่อจะได้สืบสวนอะไรกันบ้าง เกี่ยวกับการฟื้นฟูความดีให้ดีขึ้นกว่าเดิม ”

จึงถามเธอทั้งหลายเหล่านั้นว่า

“ เธอตายเพราะโรคอะไร ”

บางคนก็บอกว่า

“ ตายเพราะโรคกระเพาะอาหารบ้าง ตายเพราะวัณโรคบ้าง ตายเพราะอาการอย่างอื่นบ้าง มีอาการไม่เสมอกัน แต่ว่าก่อนจะตาย มันทุกขเวทนามาก ”

ก็ถามว่า “ ตามที่ฉันสอนไว้ว่า จงอย่ามีจิตว่างจากอารมณ์สมาธิ ให้นึกถึงพระเป็นอารมณ์ ในหนังสือก็มีตัวอย่างอยู่ ทำไมจึงไม่ทำ ”

เธอก็บอกว่า

“ ทำเหมือนกัน แต่จิตมันไม่มั่นคงนัก มีความเคารพในท่านจริงแต่ไม่ได้รับคำสอนโดยตรง จึงทำบ้างไม่ได้ทำบ้าง ก่อนจะหลับบางทีก็ภาวนาบ้าง ไม่ภาวนาบ้าง บางทีก็เผลอไป บางวันก็ไม่ได้ทำบ้าง เพราะอ่านแค่เที่ยวเดียวก็ใจไม่มั่นคงนัก ศรัทธาน่ะศรัทธาแน่ ทีนี้พอล้มป่วยลงในเมื่อมีทุกขเวทนาหนัก อารมณ์ภาวนาก็หายไปมันเหลือแต่เสียด เหลือแต่ปวด ปวดโน่นปวดนี่ เสียดโน่นเสียดนี่ แน่นหน้าอกบ้าง อึดอัดบ้าง มันมีแต่ทุกขเวทนา ก็เลยนึกถึงบุญกุศล ทีนี้เมื่อจิตออกจากร่าง ร่างกายปรากฏขึ้น ก็เห็นเทวดา...สี่องค์ ท่านมายืนรออยู่ ” ท่านบอกว่า

“ เจ้านายให้มารับ ”

“ ก็มากับท่านแต่ในระหว่างทาง ผมก็บอกกับท่านว่า ผมเป็นลูกฤๅษีลิงดำทำไมต้องไปสำนักพระยายมด้วย ”

เทวดาท่านก็บอกว่า

“ ฤๅษีลิงดำกับพระยายมเป็นญาติกัน คือ พระยายมเป็นพี่ชายฤๅษีลิงดำ นายบัญชีเป็นลุงของฤๅษีลิงดำ ฉะนั้นทุกคนที่มีความเคารพในฤๅษีลิงดำที่มีกำลังใจอ่อนอย่างนี้จะต้องไปสำนักพระยมก่อนเพื่อพบฤๅษีลิงดำ ”

เธอทั้งหลายเหล่านั้นก็บรรยายความเป็นมาในความรู้สึกความเป็นมนุษย์ว่า

“ ความเป็นมนุษย์มันมีแต่ความทุกข์ เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างผมสลายตัวหมด ไม่มีอะไรเหลือเป็นของผม บางคนก็รวยมาก บางคนก็รวยน้อย บางคนก็มีทรัพย์น้อย บางคนก็มีทรัพย์มาก ว่าทรัพท์สินต่าง ๆ ที่หามาไม่ได้เกิดประโยชน์เลย เวลานี้ทรัพย์สินที่เป็นของผมมันก็ไม่เป็นแล้ว ผมไม่มีสิทธิ์ไปปกครอง ลูกหรือเมียเขาก็เป็นอิสระของเขา ผมไม่มีสิทธิ์ไปปกครอง แต่ผมเวลานี้ผมต้องการอย่างเดียว คือ ต้องการอิสรภาพ ต้องการไปอยู่ในดินแดนที่มีความสุข ”

ถามว่า

“ ดินแดนไหน ”

เธอก็ตอบว่า

“ แดนสวรรค์บ้าง แดนพรหมโลกบ้าง ”

ก็ถามว่า

“ ใครทำบุญขนาดไหนไว้แล้วบ้าง ”

ก็มีหลายราย บอกว่า

“ มีการให้ทาน มีการรักษาศีล มีการเจริญภาวนา มีการฟังเทศน์ แต่การให้ทานก็ไม่ได้ให้เป็นนิจ นึกถึงทานบ้าง ไม่นึกถึงทานบ้าง กว่าจะนึกถึงทานก็ต่อเมื่อเห็นทานปรากฏ อย่างเขาเรี่ยไรก็บอกว่า จะสร้างโบสถ์ นั่นก็นึกถึงทานขึ้นมา มีเงินเล็กน้อย หรือมากมายก็ส่งไปสร้างโบสถ์ เขาจะสร้างศาลาก็ทำบุญกับเขา เขาจะเลี้ยงพระก็เข้าหุ้นกับเขา เจอะคนขอทานก็ให้บ้าง ไม่ให้บ้าง ถ้าร่างกายดีเกินไปก็ไม่ให้ ถือว่าขี้เกียจ ถ้าร่างกายไม่ดีก็ให้ จิตใจไม่อยู่ในสภาพมั่นคง สำหรับการภาวนาไม่แน่นอนนัก ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง ก็เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน ชอบใจหนังสือเล่มนี้มาก ที่รู้จักท่านก็เพราะว่าหนังสือหลวงพ่อปาน หนังสือประวัติหลวงพ่อปานมีคุณประโยชน์มาก แนะนำต่าง ๆ มีความเข้าใจจริง ๆ เพิ่งเข้าใจพระพุทธศาสนาที่ประวัติหลวงพ่อปานนี่เอง ทีแรกก็อย่างงั้นอย่างงั้นแหละ คำว่าอย่างงั้นอย่างงั้นก็หมายความว่า ไม่แน่ใจนัก พระท่านก็ไม่สอนอะไร เวลาไปวัด พระท่านให้ศีลท่านสวดมนต์ ตอนสายท่านก็เทศน์ ท่านก็เอาหนังสือมาอ่านบ้าง เทศน์ปากเปล่าบ้าง แต่ไปดูพระจริง ๆ ท่านก็ปฏิบัติไม่แน่นอนนักบางองค์ก็เคร่งครัดดี บางองค์ก็ไม่เคร่งครัด บางองค์ก็เล่นหมากรุกบ้าง เล่นหมากฮอสบ้าง บางองค์ก็ดื่มน้ำชา สูบบุหรี่ ”

แต่ทว่าการดื่มน้ำชา สูบบุหรี่เป็นของธรรมดา

“ และก็คุย คุยเฉพาะทางโลก พอรู้ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ ก็รวมความแล้วไม่ได้เรื่อง ”

พระยายมก็หันมาเตือนบอก

“ คุณ เวลาใกล้จะหมดนะ ผมจะให้คุณมาที่นี่ไม่เกิน ๓๐ นาที ต่อนี้ไปคุณก็แนะนำเขาสักหน่อยซิ พวกนี้น่ะไปสวรรค์ได้แน่นอน แต่ว่าคนที่ไปพรหมโลกก็มีอยู่ อย่างคนนี้นั่งอยู่ด้านท้าย ๆ ๒ คน สองคนนี้นึกถึงท่านเป็นปกติ ก่อนจะหลับนึกถึงท่าน ตื่นอยู่นึกถึงท่าน นึกถึงท่านเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์ฌาน ทั้งสองคนนี้มีโอกาสไปพรหม แต่ว่าทั้งหมดนี้ในเมื่อไปสวรรค์ก็ดีไปพรหมก็ดียังไม่มีโอกาสหมดทุกข์ เขามีวาสนาบารมีดีพอที่จะหมดทุกข์ได้นั่นก็คือไปนิพพาน แต่ทว่าการที่ไปนิพพานได้ต้องอาศัยคำแนะนำเสียก่อน ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะหนังสือเล่มนั้นพูดถึงนิพพานไว้ ทุกคนจับใจในพระนิพพาน แล้วก็นึกชอบใจว่าพระนิพพานมีดินแดนเป็นที่อยู่ไม่สูญเหมือนที่เขาพูดกันมีวิมานเป็นที่อยู่เป็นดินแดนของความสุขเราต้องการพระนิพพานเป็นที่ไป ในเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นต้องการพระนิพพาน แต่บางท่านอารมณ์ก็อ่อนไป บางท่านก็มีอารมณ์พอไปเป็นพรหมได้ก็ยังไม่พอ ขอให้ท่านแนะนำหัวข้อนิพพานสักนิด ๆ พวกนี้ตั้งใจฟังอยู่แล้ว ผมต้องการให้ทุกคนไปพักที่เทวดากับพรหม และก็ต่อไปนิพพานเลย ”

จึงหันมาถามกับพวกนั้น บอกว่า

“ ต้องการจะฟังเทศน์ไหม ”

ทุกคนยกมือพนม บอก

“ พร้อมใจฟังขอรับ ”

บอกว่า

“ ตั้งใจฟังนะ ฉันจะเทศน์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ ฉันจะไม่เอาความรู้ของฉันมาเทศน์ ความรู้ที่ฉันเขียนไว้ในหนังสือหลวงพ่อปานมันหนักมาก มันมีอารมณ์หนักแต่เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์กับเทวดามีอารมณ์เบามาก จงฟังให้ดี ”

ก็กล่าวบอกว่า

“ สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐมท่านเคยตรัสไว้อย่างนี้กับเทวดาว่า ท่านทั้งหลายจงอย่างเมาในความเป็นทิพย์ ในฐานะที่เป็นเทวดาบ้าง เป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง การเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ไม่ใช่จะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย สักวันหนึ่งข้างหน้าในเวลาไม่ช้านักก็จะต้องจุติ ถ้าทุกคนทุกท่านหรือหลายท่านเมาในความเป็นทิพย์ ไม่สร้างความดีต่อ บาปเก่าที่ท่านสะสมมาแต่ยังไม่ได้ชำระหนี้บาป คือ ทำบาปก็ทำ ทำบุญก็ทำ แต่บุญท่านทำเล็กน้อยมากกว่าบาป วันหนึ่งจะทำบุญสักครั้งหนึ่ง แต่ว่าอีก ๗ วันมันเว้นไปทำบาปเสียหมด ทำบาป ๗ วัน ทำบุญ ๑ วัน บางท่านทำบาปถึง ๑๕ วัน คือวันพระ ๘ ค่ำไม่ได้ไปทำบุญ ทำบุญเฉพาะวันพระ ๑๕ ค่ำ บุญที่ทำไปแล้วก็ถือว่าเป็นบุญ แต่ก็บุญนั่นเป็นบุญผิวผิว ท่านหมายความว่า เวลาท่านตั้งใจสมาทานศีลก็มีจิตไม่มั่นคงนัก เวลาใส่บาตรพระก็นึกตั้งใจใส่บาตรส่งให้พระแต่ก็เป็นประเพณี เวลาฟังเทศน์บางทีก็ชอบใจฟัง ฟังท้องเรื่องไม่ได้คิดตามเทศน์ บางทีก็ฟัง ไม่ชอบใจฟังก็ฟังไปอย่างนั้นจนกว่าจะเทศน์จบ ก็รวมความว่า บุญที่ท่านทำมาแล้วเป็นบุญที่มีอานิสงส์เล็กน้อย ไม่มากนัก เพราะกำลังใจมีความไม่มั่นคงพอ ต่อจากนี้ไปขอทุกท่านทั้งหลายจงคิดว่าความตายเข้ามาถึงเรา เรามาสวรรค์ได้แต่ว่าถ้าเราจุติจากเทวดา บาปทั้งหลายที่เกาะใจท่านอยู่มองดูใจซิทุกคนก็เห็นกลุ่มบาปมันเกาะใจเป็นสีดำ เป็นกองใหญ่ ทุกคนก็ยอมรับว่าบาปมีจริง เกาะอยู่ แต่ว่าเวลานี้บาปให้ผลไม่ได้ เพราะมันเป็นเขตแดนของเทวดา บาปพวกนี้แหละที่จะดึงท่านทั้งหลายให้พุ่งหลาวลงนรก ในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ฉันขอท่านทั้งหลายจงอย่างประมาทในชีวิต จงอย่าคิดอยากเป็นมนุษย์ อยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า อยากเป็นพรหม ตั้งใจไว้เพื่อพระนิพพานอย่างเดียว ขณะที่พระพุทธเจ้าเทศน์ถึงบาป ท่านก็ชี้ให้ดูแดนนรก มีไฟสว่างไวมาก มีการลงโทษ มีกรรมกรทำงาน ถูกทุบบ้างถูกตีบ้าง ถูกฟันบ้าง ถูกเขาทับบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ไฟก็พุ่งมาทั้งสี่ทิศ พื้นก็เป็นเหล็กแดงเผาลุกโชน เมื่อภาพของนรกบรรดาเทวดานางฟ้าพรหมทั้งหลายก็หวาดกลัว

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า

“ ทุกท่านจงตั้งใจไปนิพพาน ”

แล้วก็ชี้ไปที่นิพพาน เห็นพระนิพพานเป็นดินแดนที่มีอยู่สูงกว่าพรหมไม่มากนักเป็นแก้วขาวโพลนเป็นประกายแพรวพราวเป็นระยับ เขตแดนพระนิพพานมีแต่ความสงบ ความเป็นอยู่ของพระอรหันต์มีแต่ความสงบ ไม่มีความวุ่นวาย และองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า

“ ท่านทั้งหลายท่านชอบใจนรกไหม ”

เทวดาทั้งหมดก็บอกว่าไม่ชอบใจ ท่านก็ทรงเตือนว่า

“ อย่าลืมนะว่านรกยังท่วมใจท่านอยู่ จงหนีนรก วิธีหนีนรกก็คือว่า ๑. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ยอมรับนับถือพระธรรม ยอมรับนับถือพระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ จงอย่าทำใจให้พลาดจากการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คิดว่าเราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่ยอมให้ภาพนี้คลายไปจากใจของเราเราจะนึกเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ นึกเห็นพระอริยสงฆ์เป็นปกติ และประการที่ ๒. ขอท่านทั้งหมดจงพากันมีศีลบริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม ทำได้ อย่างเทวดาชั้นยามา ชั้นดุสิต หรือพรหมสามารถรักษาศีล ๒๒๗ ได้เหมือนพระ เทวดาชั้นยามาถึงแม้ว่าจะเป็นชั้นกามาวจรสวรรค์ก็ไม่สนใจกับโลกภายนอกแล้ว ตั้งใจสวดมนต์บ้าง เจริญภาวนาบ้างเป็นปกติอย่างนี้ถือว่าทุกท่านมีขอบข่ายพระนิพพานเป็นขอบเขต จงตั้งใจคิดว่า ถ้าจุติจากเทวดา หรือนางฟ้า หรือพรหม เมื่อไหร่เราก็จะไป นิพพานทันที ”

เมื่อเทศน์มาถึงตอนนี้ก็บอกว่า

“ ท่านทั้งหลายพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เท่านี้นะ เวลานี้ทุกคนเห็นนรกหรือยัง? ” ทุกคนก็ตอบว่า

“ ยัง ”

พระยายมก็ชี้มือให้ บอกว่า

“ นี่ นรก ”

เห็นบรรดาไฟแดงฉาน หมายความว่าไฟแดงโชติเผาสัตว์นรก นายนิริยบาลฟันบ้าง แทงบ้าง ทุบบ้าง เป็นต้น จับกรอกด้วยน้ำทองแดง บางส่วนของสัตว์นรกก็ถูกหอกเสียบ จนกระทั่งขยับตัวไม่ไหวก็มี พวกนั้นเห็นแล้วก็กลัว พระยายมถามว่า

“ เวลานี้ท่านทั้งหลายเห็นสวรรค์แล้วหรือยัง ”

เขาตอบว่า “ เห็นแล้ว ”

“ เห็นพรหมโลกแล้วหรือยัง ”

เขาตอบว่า “ เห็นแล้ว ”

“ เห็นแดนพระนิพพานหรือยัง ”

เขาบอกว่า “ ยังไม่เห็น ”

“ ถ้ายังไม่เห็นก็ไม่ใช่หน้าที่ของพระยายมจะแนะนำและพระท่านก็แนะนำไม่ได้ ชี้ให้ดูไม่ได้ ต้องเป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นท่านทั้งหลาย เวลานี้กาลเวลามาถึงแล้วบุญเก่ามีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่วันนี้ตั้งใจฟังเทศน์ ตั้งใจปฏิบัติตาม ปฏิบัติตามได้ไหม? คิดได้ไหมว่า ถ้าเราเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าหรือพรหม เราจะไม่เมาในชีวิต เราจะคิดถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ”

เขาก็ตอบว่า “ คิดได้ ”

“ ประการที่ ๒. เธอคิดว่าการเป็นเทวดา นางฟ้าหรือพรหม สักวันหนึ่งข้างจะต้องจุติ ถ้าเราพลาดจากความดีจะลงนรกคิดได้ไหม? ”

เขาบอกว่า “ได้”

“ ถ้าเราตั้งใจทำความดีตามที่พระท่านเทศน์เราจะไปนิพพานจำได้ไหม? ”

เขาบอกว่า “ จำได้ ”

พระยายมถามว่า “ ปฏิบัติได้ไหม ”

เขาบอกว่า “ ปฏิบัติได้เป็นของไม่ยาก ”

“ ท่านทั้งหลายโปรดทราบว่า การที่ไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการพรหมโลก ไม่ต้องการมนุษย์ นี่เป็นการตัดอวิชา คือความเป็นพระอรหันต์ ”

หลังจากนั้นพระยายมก็บอกว่า

“ ทุกท่านเป็นอิสรภาพแล้ว ไปได้ตามความดีของท่านที่จะพึงไป ”

แล้วคณะพระยายมและอาตมาก็ตั้งใจติดตามเธอไป เธอเป็นเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง มีวิมานสวยสดงดงามมาก ทรงเครื่องประดับสีเหลือง ตั้งใจในความเป็นพระ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พูดไปพูดมาเวลามันก็ใกล้จะหมด ก็เป็นอันว่า เมื่อวาระเข้ามาถึง ถึงเวลาแล้วก็ลาพระยายมกลับ เมื่อลาพระยายมกลับก็ตั้งใจจะไปที่เทวสภาแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า

“ ฤๅษี เวลานี้มันใกล้จะ ...สิบโมงครึ่ง เป็นเวลาที่คุณจะต้องฉันเพล จงพักเสียก่อน หลังจากฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไปเทวสภาก็ได้ ”

พอองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเตือนอย่างนั้นก็กราบท่าน ก็ลาเข้าร่างกายตามเดิม

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้อยคำที่กล่าวมานี้ทั้งหมด ขอยืนยันว่าเป็นความจริง และเป็นกิจ เป็นภาระที่อาตมาต้องทำเป็นปกติ คือ ยามปกติเมื่อจิตว่างจากอารมณ์อื่นจิตก็จะเข้าถึงสมาธิ คือ ตั้งใจภาวนาทันที ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง จิตของอาตมาจะไม่ว่างจากคำภาวนาและพิจารณา นอกจากจะมีงานอื่นเข้ามาแทรก ฉะนั้นขอท่านทั้งหลาย ถ้ามีโอกาสก็ทำตามนั้น เราตายจากความเป็นคนจะได้ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า เป็นพรหม เพราะยังไม่พ้นทุกข์ เราตั้งใจกันไว้เฉพาะอย่างยิ่งนั่นคือพระนิพพานแห่งเดียว

เอาละบรรดาท่านทั้งหลายหมดเวลาพอดี นาฬิกาตีเตือนสองครั้งก็ขอลาท่านก่อน ขอความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพานไปพบคนที่สำนักพระยายม , พบเทวดาใหม่ (๑)Copyright © 2001 by
Amine
23 ส.ค. 2547