ไปพบคนที่สำนักพระยายม , พบเทวดาใหม่ .. (1)

พิมพ์โดย คุณสมชายและพี่สาว

ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ แต่ว่าจะบันทึกเรื่องราวของวันที่ ๒๔ ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ ๒๔ หลังจากเซ็นหนังสือแล้ว แล้วก็บันทึกเสียงหน้า ๑ แล้ว ก็เริ่มนอนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็เริ่มจับอานาปานสติกรรมฐานและพุทธานุสติ ตั้งใจว่าจะชำระร่างกายจิตใจให้สะอาดแล้วจะไปเทวสภา แล้วก็ไปนิพพาน แต่ว่าท่านทั้งหลาย พอเริ่มจับลมหายใจเข้าออกก็ได้ยินเสียงว่า วันนี้ ไปสำนักผมก่อน เมื่อหันไปก็เห็นท่านพระยายมกับนายบัญชีท่านมา ท่านมายืนอยู่ข้าง ๆ และเห็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ยืนอยู่ด้วย ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ยืนยิ้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท้าวเวสสุวัณ ท่านบอกว่าวันนี้ ไม่ได้ไปเทวสภาก็ยอมรับจึงหันมาถามท่านพระยายมว่า ลุง คำว่า ลุง สำหรับพระยายมนี่ เรียกตามลูกหลาน เพราะลูกหลานทั้งหลายเรียกท่านว่า ลุง ก็เรียกตาม

ถามว่า ลุงมีธุระอะไรมากรึ ท่านตอบว่ามีธุระใหญ่ ท่านมีความจำเป็นต้องไปสงเคราะห์ เพราะสัตว์นรกที่ไปในวันนี้ จะเรียกว่าสัตว์นรกทั้งหมดไม่ได้ มีสภาพไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่จริง ๆ ก็ต้องลงนรก แต่ก็มีคนอยู่ ๓๐ คน ให้เทวดาไปรับมาและให้คอยท่านอยู่ เพราะว่าทั้ง ๓๐ คนนี่ ขณะที่เทวดาพามา พอออกจากร่างแล้วเขารับมา ระหว่างทางไม่ไกลนัก เธอก็นึกถึงชื่อคุณ ในเมื่อเธอต้องการพบคุณ เธอต้องการให้เทวดาพามาพบ ที่นี้เทวดาเขาไม่พามา เขาพามาที่ผม ผมก็มีความจำเป็นต้องมารับคุณไป ก็เป็นอันว่าตามท่านพระยายมไป ก็ไปถึงห้องโถงใหญ่ตามที่กล่าวมาแล้ว มีแท่นแก้วประดับทอง สูงใหญ่ มีเก้าอี้แก้วประดับทอง มีลานห้อง มีห้องกว้าง เมื่อไปถึง นั่งลงก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่ห้องว่าง ๆ ถามท่านพระยายมว่า พวกนั้นอยู่ที่ไหน ท่านพระยายมบอกว่าเวลานี้ ผมกำลังให้เทวดาไปเรียก แล้วก็ประกาศให้ทุกคนทราบว่า ทั้งหมด พระมาที่สำนักพระยายมแล้ว ใครต้องการพบพระบ้างให้เข้ามา ก็เป็นอันว่า ๓๐ คนที่กล่าวถึง ต่างคนต่างวิ่งเข้ามาที่ห้องโถง มาถึงแล้วก็กราบ แต่คนทั้งหมดนับหมื่น ยืนตัวแข็งก้มหน้า ไม่มีใครเข้ามา ท่านพระยายมท่านก็เลยบอกว่า นี่เป็นอย่างนี้ คนตายที่ชาวบ้านทำบุญให้ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๓๐ คนนี่ เมื่อเขาตายมาแล้ว จิตออกจากร่างแล้ว เทวดาทั้ง ๔ คนพามา ระหว่างทางเขาก็ปรารภกับเทวดาว่าเขาอยากจะพบฤๅษีลิงดำ ขอให้พาเขาไปแวะที่สำนักฤๅษีลิงดำก่อน แต่ว่าเทวดาไม่ยอมปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพราะเทวดามีหน้าที่นำมาที่นี่โดยเฉพาะ จะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปน่ะไม่ได้ ในเมื่อเขาอ้อนวอน เทวดาก็บอกว่า ท่านฤๅษีลิงดำที่ท่านอยากจะพบ ท่านจะพบได้ที่สำนักพระยายม ฉันมีหน้าที่อย่างเดียวคือพาท่านไปสำนักพระยายม จะแวะสำนักฤๅษีลิงดำไม่ได้ และเทวดาถามว่า ทำไมจึงนึกถึงฤๅษีลิงดำ เมื่อก่อนจิตออกจากร่างทำไมจึงไม่นึกและทำไปจึงมานึกทีหลัง เขาบอกว่า เมื่อก่อนจิตออกจากร่าง มันมีทุกขเวทนามากนึกอะไรไม่ออก ต่อมาเมื่อจิตออกจากร่างแล้ว มันมีอารมณ์โปร่งร่างกายเบาสบายจิตใจก็ปลอดโปร่ง จึงอยากจะพบฤๅษีลิงดำเทวดาก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะพบได้ที่สำนักพระยายมแล้วก็พามา เวลานี้เขาก็พาไปคอยที่สำนักผมแล้วครับ นิมนต์ท่านไป

ก็เป็นอันว่าเดินไปกับพระยายม ท่านท้าวมหาราชก็ไปด้วยไปถึงที่นั่นปรากฏว่า มีเทวดาตั้งแถวรับเพราะท้าวมหาราชท่านมา ท่านเป็นนาย พอเข้าไปถึงที่พักก็มีแท่นแก้วสูงมาก ๑ แท่น มีเก้าอี้ประดับทองหรือแก้วเหมือนกันตั้งเรียงรายอยู่ อาตมาก็ไปนั่งเก้าอี้ตัวกลาง พระยายมนั่งเก้าอี้ข้างขวา นายบัญชีนั่งเก้าอี้ข้างซ้าย ท่านพระยายมท่านก็บอกว่า ประเดี๋ยวผมจะให้พวกนั้นมาเข้าไปในห้องโถง ท่านจึงสั่งให้เทวดาไปประกาศว่าเวลานี้พระมาที่สำนักพระยายมแล้ว ใครต้องการพบพระบ้างให้มาที่นี่ เทวดาก็ประกาศ ประกาศอยู่ ๒ - ๓ ครั้ง ก็ปรากฏมีคน ๓๐ คนวิ่งเข้ามาหา แล้วก็กราบ เงยหน้าขึ้น ส่วนนอกจากนั้นยืนก้มหน้าเฉย พระยายมท่านก็บอกว่า นี่น่ะตามธรรมดาคนที่มีบาป คนที่มีบาปหนักเมื่อตายแล้ว ญาติที่อยู่ข้างหลังแม้จะทำบุญขนาดไหนก็ตามจะบวชพระบวชเณร สร้างโบสถ์ วิหาร การเปรียญ แล้วอุทิศส่วนกุศลหรือถวายสังฆทาน ก็ไม่มีโอกาส ที่ยืนเฉยอยู่อย่างนั้นให้ทำบุญเท่าไร ก็ไม่ได้รับเรา เขาไม่มีโอกาสโมทนา ส่วน ๓๐ คนนี่ เมื่อตายแล้ว ญาติมีความฉลาดไปถวายสังฆทานเขาก็ได้รับโมทนา ถามว่า ทำไมร่างกายจึงไม่เป็นเทวดา ก็ตอบว่า ยังอยู่เพราะความข้องใจของเขามีอยู่เมื่อเขารับโมทนาแล้วเขาก็มีความสุข มีความสดชื่น วิ่งได้ ธรรมดาคนที่มาที่นี่น่ะวิ่งไม่ได้ ที่เขายังเป็นเทวดาไม่ได้เพราะคอยท่าน ต้องคอยท่านอีกองค์หนึ่งเขาจึงจะเป็นเทวดาได้ ความจริงถึงไม่พบท่านเขาก็เป็นได้แต่บุญมันน้อยไป ถ้าพบท่านวันนี้บุญเขาจะมากขึ้น ก็สงสัยว่าทำไมจึงมาเจาะจงบุญที่ฉัน คนที่อื่นก็ทำได้ ถ้าเรียกว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง สอบถามเขาดู

ก็ถามเทวดาองค์อื่นที่อยู่ใกล้ ว่าทำไมจึงต้องการพบฉัน เธอก็ตอบว่า ในตอนก่อน ผมทั้งหมดนี้ปรึกษากันแล้ว เขาให้ผมเป็นคนพูดแทน ถ้าหากว่าพูดทั้งสามสิบคน เวลาจะไม่พอ ท่านจะไปอยู่ ท่านจะไป ต่างคนต่างก็มอบภาระให้เป็นหน้าที่ของผมก็ถามเขาว่ามีธุระอะไรจะพูดบ้าง เขาเลยบอกว่าก่อนที่ผมจะตายร่างกายมันตาย แต่จิตมันไม่ตาย ก่อนตายมีอาการมืดตื้อ จิตมืด คิดอะไรไม่ออก ภาวนาก็ไม่ได้ คิดถึงบุญอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ก็ต้องออกมา พบท่านทั้ง ๔ เข้า ก็เดินตามท่านมา ท่านชวนมา ท่านก็ถามว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ทำอะไรไว้บ้าง เขาบอกว่าผมทั้ง ๓๐ คน นี่มีสภาพเหมือนกันหมด คือ ฟังเทศน์จากพระ พระท่านบอกว่าตายแล้วมีสภาพสูญ ใครทำความดีไว้มากก็สูญ ใครทำความชั่วไว้มากก็สูญ ไม่มีโอกาสรับผล แต่ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดีผมก็นึกในใจว่า ในเมื่อคนเราทุกคนเกิดมีอารมณ์อย่างนั้นขึ้นมา คือ ตายแล้วมีสภาพสูญ จะสร้างความดีไปทำไม มันเป็นการเหน็ดเหนื่อย อย่างคนมาขอทานนี่ ผมถึงว่าเอาเปรียบ ผมทำมาหากินเกือบตาย แต่ทว่าพวกนี้ไม่ทำอะไร ตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าจะมาขอ แล้วเขาก็ไปขอ ผมก็ให้ไม่ใช่ไม่ให้ แต่ให้ด้วยความเสียดายทรัพย์ ให้ด้วยความจำใจ พวกที่ไปเรี่ยไรก็เหมือนกัน เขาเรี่ยไรบอกบุญ ผมเองก็ให้ แต่ให้ไม่มาก ให้ตามประเพณี ให้เพราะเห็นหน้ากัน การบวชพระ เขาไปบอก ก็ช่วย ก็คิดว่างานเล็กน้อยแค่นี้สามารถช่วยตัวเองได้ทำไมต้องมากวนชาวบ้าน แต่เกรงใจว่าชาวบ้านเขาจะหาว่าเป็นคนตระหนี่ ก็ให้ไม่ได้ตั้งใจทำบุญ

รวมความว่า ความดีไม่ได้ตั้งใจทำ แต่ความชั่วตั้งใจทำ นั่นคือ การฆ่าสัตว์มาเลี้ยงชีวิต ที่เป็นของดี ไม่ต้องจ่ายทรัพย์มากอิ่มหมีพีมัน กันทั้งครอบครัว ประการที่สอง พูดมุสาวาท ก็เป็นของดี โกหกเอาตัวรอดได้ก็แล้วกัน ประการที่สาม ทรัพย์สินของใครถ้าเผลอ ผมก็ขโมย ในเมื่อขโมยมาได้มันก็ดี ผมไม่ต้องจ่ายทรัพย์สินซื้อ การดื่มสุราเมรัยก็ดี การทำกาเมสุมิฉาจารก็ดีพวกผมก็ทำตลอด ทำเพื่อความสุขใจของผมและก็เป็นความสุขจริง ๆ พอทำได้แล้วก็ชุ่มชื่นใจ กาเมสุมิฉาจารนี่ชื่นใจมาก แต่สำหรับการดื่มสุราเมรัยก็ทำให้ใจเป็นสุข แรงน้อยมันก็แรงมาก เคยพูดเสียงเบามันก็พูดเสียงดัง ไอ้ที่ไหนกลัวผี แต่เขาลือว่าตายแล้วสูญผมก็นึกว่ามันสูญไปหมด แต่ใจก็ยังกลัวผีอยู่ แต่เมื่อผมกลัวผี ผมก็ดื่มสุรามันเมาแล้วมันก็หายกลัว มันก็มีประโยชน์ ในสถานที่ไหนที่เขานั่งประชุมกัน ถ้าผมเกิดมีความไม่กล้าขึ้นมา ไม่กล้าประชุม ผมก็ดื่มสุรา แล้วก็เข้าประชุมได้ การทำความชั่วมันดีอย่างนี้ครับ แต่ว่าท่านอาจารย์ท่านสอนว่าตายแล้วมีสภาพสูญก็เลยทำแต่ความชั่วทุกอย่าง

ก็เลยถามว่า ทำไมจึงอยากพบฉัน เขาก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนผมตาย ๒ ปี ลูกสาวกับภรรยา มารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุงได้ซื้อหนังสือไปหลายเล่ม เล่มหนึ่งมีรูปหลวงพ่อปานอยู่ ชื่อหลวงพ่อปานนี่ผมยังจำได้ว่า ญาติโยม พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายเคารพมาก จึงเอาประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน จริง ๆ แล้วมันเป็นประวัติเพื่อความประสงค์ของท่าน ฤๅษีลิงดำ ผมก็ชอบใจท่านฤๅษีลิงดำอุตส่าห์นำเรื่องหลวงพ่อปานและเรื่องต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังจนเข้าใจ แล้วเล่าเรื่องนรกมีจริงสวรรค์มีจริงท่านไปนรกได้ท่านไปสวรรค์ได้ ก็นึกในใจว่า องค์นี้สอนคัดค้านกับอาจารย์ของเรา อาจารย์ของเราว่าสูญแต่ท่านองค์นี้ว่าไม่สูญ ลูกเมียผมก็บอกไม่สูญ เขาก็ตั้งใจทำบุญกัน ญาติพี่น้องหลาย ๆ คนเขาก็ตั้งใจทำบุญกัน แต่ผมทั้ง ๓๐ คนนี่ไม่ได้อยู่รวมกัน แต่ว่ามีปฏิปทาเหมือนกัน อยู่คนละจังหวัด สำหรับผู้พูดอยู่จังหวัดพิษณุโลก เมื่ออ่านหนังสือหลวงพ่อปานแล้วก็นึกว่าเราต้องทำเผื่อไว้ถ้าตายแล้วไม่สูญจริง ๆ เราจะไปแดนของความสุข แต่ไอ้ตัวที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญ มันจะมีมาก ตัวคิดว่าจะไม่สูญ มันมีน้อย แต่ในเมื่อพอตายเข้าจริง ๆ มันก็ไม่สูญปรากฏตัวอย่างอย่างนี้ ผมอยากจะขอบุญบารมีจากท่าน

ก็ถามว่า จะขออะไร เขาบอกว่าอยากจะขอโมทนาบุญ จึงถามว่าในเมื่อเทวดาพามา ทางบ้านเขาจัดการทำบุญแล้วใช่ไหม เขาบอกว่า ใช่ เขามีพระมาสวดอภิธรรมมีเลี้ยงเช้าพระ เลี้ยงเพลพระในระหว่างนี้เขาจัดงานศพไปแล้ว ที่จัดงานศพ เขาก็เลี้ยงพระทั้งวัด แล้วก็มีเทศน์ มีการให้ทาน เขาก็อุทิศส่วนกุศลให้ ถามว่าได้รับไหม บอกว่าได้รับ ก็บอกว่าในเมื่อได้รับแล้วก็พอแล้วนี่ ก็เป็นเทวดาได้แล้ว ทำไมจึงไม่ไปเป็น เขาบอกว่าจิตมันห่วงท่าน ผมอยากจะพบท่านให้เทวดาพาไปหาท่านก็ไม่พาไป ท่านบอกว่าท่านมีหน้าที่พามาเฉพาะที่ตรงนี้ ที่อื่นแวะไม่ได้

ก็เลยบอกว่า บุญที่ต้องการมีอะไรบ้างลองบอกมาซิ เขาก็บอกว่า ๑. ถวายสังฆทาน ๒. ผมอยากไปสวรรค์ จะทำอย่างไร? ก็ตอบเขาว่าเมื่อไปสวรรค์นั้นมันก็ไปได้แล้วไม่ต้องช่วยกันสังฆทานเขาก็ให้แล้วตั้งใจโมทนาก็แล้วกัน ในที่นี้ไม่มีที่ถวายสังฆทาน เอาอย่างนี้ดีไหม

เธอเชื่อไหมว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เขาบอกว่าเชื่อแล้ว เขาอ่านหนังสือหลวงพ่อปานบอกว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ก็มีความเชื่อแต่ยังไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อตายแล้วกลับเกิดใหม่ จริง ๆ อย่างนี้ ก็เชื่อทั้งหมด ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจงฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ฟังเทศน์จากฉัน ฉันก็เล่าแบบท่านมา แต่มันก็ไม่เหมือนทางที่ดีก็รับโดยตรงจากพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน เขาก็ยอมรับบอกถ้าอย่างนั้น พวกเธอจงพนมมือขึ้น ตั้งใจขอบุญบารมีขอความเมตตาปรานี จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่ท่านจะสงเคราะห์ พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้วน่ะ ไม่สูญ มีเยอะอยู่ที่นิพพาน เขาก็พนมมือกัน


ก็ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ปฐม องค์ปฐมท่านเสด็จมาประทับบนแท่นสูง แล้วท่านก็หันมาถามอาตมาว่า “ ฤาษี ทำไมจึงไม่เทศน์สอนเขา ” ก็เลยบอกว่า พวกนี้สามารถจะเห็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจริง ๆ ความเลื่อมใสเขาจะมีมาก เขาจะมีความเชื่อมั่น เขาจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาที่มีความสุข มีทรัพย์สินสมบูรณ์แบบ ท่านบอก เออ จริงนะ เอา เอาอย่างงนี้ก็แล้วกัน ๓๐ คนหันหน้ามาทางนี้ ทุกคนก็หันหน้าไปหาท่าน แล้วยกมือพนม ท่านก็บอกว่า

“ โภ ปุริสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญทั้งหลาย เธอทั้งหลายอาศัยที่รับฟังคำสอนมาว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ คำสอนนั้นใครจะสอนก็ตาม ตถาคตจะไม่พูดถึง แล้วเธอก็มีความเชื่อมั่นว่าตายแล้วมีสภาพสูญ ถ้าอย่างนี้ ถ้ามีอารมณ์ คิดว่ามีสภาพสูญอย่างเดียวแล้วก็ทำแต่ความชั่ว อย่างนี้ต้องลงนรก โน่นนรก ท่านก็ชี้ไปที่นรก คนทั้งหมดที่ยืนอยู่เป็นหมื่นคนทั้งหมดนี่ไม่มีโอกาสไปสวรรค์ ต้องไปนรกทั้งหมด กว่าจะขึ้นจากนรกได้ ก็นับเวลาเป็นหลาย ๆ กัป แต่พวกเธอมีบุญ ” ท่านก็ถามว่า


“ เธอทั้งหลายอยากจะเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม? เพราะความเป็นมนุษย์มันแสนจะลำบาก ” เธอทั้งหลายก็ตอบว่า ไม่อยากเป็นพระเจ้าข้า ท่านถามว่าเป็นเพราะอะไร? เขาบอกว่า “ มนุษย์มีสภาพไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ ต้องทำมาหากินทุกอย่างต้องลำบากในการกระทบกระทั่งในอารมณ์ แล้วก็มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง และมีความตายไปในที่สุด ทีแรกคิดว่าสูญก็หมดสภาพกัน แต่นี่ตายแล้วไม่สูญจึงมีความรู้สึกว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของไม่ดี ก็ยังเป็นห่วงบุตรและภรรยา ว่าเธอยังเป็นมนุษย์อยู่แต่ว่าเธอก็ดีทุกคนเขารักเคารพ ฤๅษีลิงดำกัน ผมนี่อยู่ถึงพิษณุโลกก็มี เชียงรายก็มี แม่ฮ่องสอนก็มี เขาก็มากัน แม่ฮ่อนสอนนี่ไกลมาก เมื่อถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร เขาก็มากัน แต่ผมไม่มา ผมไม่เชื่อ เขาเป่ายันต์เกราะเพชร ที่เขาไปเล่า ก็ไม่เห็นมีอะไร ให้นั่งภาวนาว่าพุทโธ แล้วเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยสะเดาะเคราะห์ให้ด้วย ”

พระพุทธเจ้าก็ทรงถามว่าเวลานี้ เธอเชื่อหรือยังว่าตายแล้วไม่สูญ? เขาตอบว่าเชื่อแล้ว เธออยากจะไปไหน? บอกอยากไปสวรรค์ สวรรค์เป็นของดีรึ? พระพุทธเจ้าถาม เขาตอบว่าสวรรค์เป็นของดี มีความสุข ตามหนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่ท่านฤๅษีลิงดำเขียนไว้

พระพุทธเจ้า ทรงถามว่า เดี๋ยวนี้เธอเชื่อหรือยังว่าสวรรค์มี? ตอบว่า เชื่อแล้วพระเจ้าข้า ท่านก็บอกว่าดินแดนแห่งนี้ก็เป็นแดนสวรรค์ สำนักพระยายมนี่ พระยายมท่านเป็นพระอริยเจ้า พระอริยเจ้า ย่อมไม่อยู่ในดินแดนของนรก โน่น นรกอยู่ไกลมาก ท่านชี้ไปทางนรก เห็นไกลเกือบสุดลูกตา แสงไฟสว่างมาก เป็นบริเวณกว้างมาก หาที่สุดไม่ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ตถาคตจะเทศน์

“ การเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี หรือเป็นมนุษย์ก็ตาม ก็มีสภาพคล้ายคลึงกัน คือมีความเกิด แล้วก็มีความแก่ แล้วก็มีความตาย แต่ทว่า เธอทั้งหลาย การเกิดเป็นมนุษย์ของไม่ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี ดีเหมือนกัน มีความสุข ไม่มีงานทำ มีความอิ่มจากความเป็นทิพย์ แต่ทว่าเทวดา นางฟ้า หรือพรหม มีอายุไม่นาน เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีอย่างพวกเธอนี่ต้องพุ่งหลาวลงนรกทันทีเธอทั้งหลายจงตั้งใจตามนี้

จงคิดว่าต่อนี้ไปเราจะเป็นเทวดา แต่ว่าจะเป็นเทวดาอยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องจุติ เมื่อจุติแล้ว เพราะอารมณ์ที่คิดว่าคนตายแล้วสูญ สร้างความชั่วไว้มาก ไอ้ความชั่วทั้งหลายเหล่านั้น มันจะบันดาลให้เธอลงนรกทันที เพื่อเป็นการหนีนรก ต่อนี้ไป ขอเธอจงคิดว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมก็ตาม ก็ต้องตายทั้งหมดในเมื่อต้องตาย ตายจากเทวดา นางฟ้า พรหม ก็ต้องพุ่งหลาวลงนรกให้ตัดสินใจต่อไปว่า นอกจากเราจะนึกถึงความตายแล้ว ก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไว้เป็นที่พึ่ง ต้องนึกตลอดทุกเวลา คือเทวดา นางฟ้า พรหม ไม่มีงาน เมื่อนึกถึงพระตลอดเวลาแล้วก็ตั้งใจนึกว่าเวลานี้พระอยู่ทีไหน พระพุทธเจ้าไปนิพพานแล้ว พระอรหันต์ทั้งหมด ส่วนใหญ่ไปนิพพาน ที่เหลือก็ไม่เท่าไร ในประเทศไทยเวลานี้ก็เหลือพระอรหันต์อยู่อีกประมาณสัก ๑๐ องค์ แต่ว่าสำนักพระอรหันต์ อยู่ใกล้ ๆ บ้านเธอ เธอก็ไม่ไป วัดท่าซุงไกลแสนไกล เธอจะไปได้อย่างไร เธอไม่เชื่ออรหันต์ แล้วเธอก็ต้องตัดสินใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเชื่อพระอรหันต์เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระธรรม ”

ต่อจากนั้นท่านบอกว่า จงรักษาศีล ๕ จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็ตาม เธอตั้งใจรักษา แล้วเธอจะมีความสุข ท่านก็บอกว่า ศีล ๕ มีอะไรบ้าง มี ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา เทวดาไม่มีโอกาสจะทำอยู่แล้วเธอมีโอกาสปลอด ถ้าจิตคิดไว้ว่าเราจะไปนิพพาน ท่านก็ชี้ไปที่นิพพาน สว่างไสวมาก เมื่อท่านเทศน์จบคนทั้ง ๓๐ คนก็กราบ พอกราบครั้งที่ ๓ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ปรากฏว่า ร่างกายทุกคนเป็นเทวดาหมด เธอหันมากราบอาตมาว่า ขอบคุณท่านที่พยายามเขียนหนังสือให้ผมมีความเข้าใจไม่งั้นผมก็แย่แล้วถูกไฟไหม้ ถูกฆ้องตี ถูกดาบฟัน เพราะบาปมาก แล้วทุกคนก็ลาอาตมา ลาพระพุทธเจ้า ขอกลับวิมานของตัว

ก็ดูไปตาม เห็นมีวิมานสวยสดงดงามมาก เครื่องประดับกายทั้งหมดเป็นสีขาวล้วน เป็นเพชรใสล้วน วิมานก็ขาวใส เป็นเพชรหมด ปรากฏว่าเธอก็มีความสุข

หลังจากนั้นพระยายมราชท่านก็มาขอบคุณว่า ผมขอขอบคุณท่าน ถ้าท่านไม่มา พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่มา นี่ท่านมาแนะนำให้คนเหล่านั้นนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็มา ผมก็ตั้งใจฟังเทศน์ผมก็ได้บุญไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า พระยายมไม่ต้องกลัวหรอก เธอน่ะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป เมื่อหมดภาระของเธอแล้ว ก็ต้องไปนิพพาน

เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายทุกท่านวันนี้เหนื่อยมาก เวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ไปสงเคราะห์ศิษย์ที่สำนักพระยายมไปพบคนที่สำนักพระยายม , พบเทวดาใหม่ (๒)Copyright © 2001 by
Amine
24 ส.ค. 2547