คำสมาทานธุดงค์ (ตั้งนะโม ๓ จบก่อน) | |
๑. ถือการใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ให้ว่าดังนี้ คะหะ ปะติทานะจีวะรัง ปะฏิกขิปามิ ปังสุกูลิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้าของดจีวรที่คฤหบดีถวาย ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร (คำอธิบายโดยย่อ : ผ้าที่มีอยู่แล้วก็แล้วกันไป เราจะงดเว้นผ้าที่รับมาจากบุคคลภายนอกที่นำมาถวานภายหลัง ถ้าผ้าขาดตกบกพร่อง ก็ไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาเย็บย้อมน้ำฝาด ข้อนี้ท่านต้องการให้เรามักน้อยสันโดษเฉพาะสิ่งที่มีอยู่แล้ว) |
๒. ถือการใช้ผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร ว่า จะตุตถะจีวะรัง ปะฏิกขิปามิ เตจีวะริกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดจีวรผืนที่สี่ ขอสมาทานองค์ของผู้ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร (คำว่า "ผ้า ๓ ผืน" ได้แก่ จีวร สังฆาฏิ สบง ส่วน อังสะ รัดประคต ถือว่าเป็นผ้าเกิน ผ้าอาบน้ำก็ใช้ได้ ผ้าในที่นี้มีตั้งแต่กว้าง ๑ คืบ ยาว ๑ คืบ ขึ้นไป |
๓. ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ว่า อะติเรกะ ลาภัง ปะฏิกขิปามิ ปิณฑะปาติกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้าของดอติเรกลาภ ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร (เราจะบิณฑบาตเป็นปกติ เว้นไว้ป่วยไข้ไม่สบาย ฝนตกหนัก ทางมีอันตราย ส่วนคำว่า "งดอติเรกลาภ" คือ ไม่รับของที่เขานำมาถวายเป็นพิเศษ นอกจากทสี่ได้มาจากบิณฑบาตเท่านั้น) |
๔. ถือการเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร ว่าดังนี้ โลลุปปะจารัง ปะฏิกขิปามิ สะปะทานะจาริ กังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดการเที่ยวไปด้วยความโลเล ขอสมาทานองค์ของผู้เที่ยวบิณฑบาติไปตามแถวเป็นวัตร (คือ ไปแถวเหนือก็เหนือ..ไม่ไปใต้ ไปแถวใต้ก็ใต้..ไม่ไปเหนือ หรือรับแต่ขาไป..ไม่รับขากลับ เป็นต้น) |
๕. ถือการฉันที่อาสนะเดียวเป็นวัตร ว่า นานาสะ นะโภชะนัง ปะฏิกขิปามิ เอกาสะนิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดการฉันที่อาสนะต่าง ๆ ขอสมาทานองค์ของผู้ฉันที่อาสนะเดียวเป็นวัตร (ฉันที่ตรงนั้นได้ แต่ไม่ได้ห้ามภัตอย่างอื่น คือ ไม่จำกัดอาหาร อาหารที่เขานำมาถวายหรือบิณฑบาตมา ฉันได้ ฉันให้พอเหมาะพอดี ถ้าฉันเผื่อมากเกินไปจะหิว) |
๖. ถือการฉันเฉพาะอาหารในบาตรเป็นวัตรว่า ทุติยะภาชะนัง ปะฏิกขิปามิ ปัตตะปิณฑิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดภาชนะที่สอง ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการฉันเฉพาะอาหารในบาตรเป็นวัตร ข้อนี้เขาไม่ได้บังคับว่าจะฉันกี่เวลา แต่ถือฉันเฉพาะสิ่งที่เขาให้มาในบาตรเท่านั้น ถ้ามีคนถวายมาอีกก็รับได้ แล้วให้องค์อื่นฉันไป) |
๗. ถือไม่ฉันอาหารที่ห้ามเขานำมาถวายในภายหลังเป็นวัตร ว่า อะติริตตะโภชะนัง ปะฏิกขิปามิ ขะลุปัจฉาภัตติกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดโภชนะอันเหลือเฟือ ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการไม่ฉันอาหารที่ห้ามแล้วมีผู้นำมาถวายในภายหลังอีกเป็นวัตร (เวลาที่เราได้อาหารมาแล้ว ได้มาเท่าไรก็ฉันเท่านั้น เขาถวายทีหลังรับได้ .. แต่ไม่ฉัน รับเพื่อเจริญศรัทธา ข้อนี้ไม่ได้ฉันในบาตร ฉันในสำรับได้ แต่นั่งลงไปแล้ว มีอาหารเท่าไร..ฉันเท่านั้น) |
๘. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ว่า คามันตะ เสนาสะนัง ปะฏิกขิปามิ อารัญญิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดสถานที่อาศัยใกล้หมู่บ้าน ขอสมาทานองค์ของผู้อยู่ในป่าเป็นวัตร (อยู่เฉพาะในป่าเท่านั้นเป็นวัตร คือ ถอยไม่ได้ แต่เดินออกมาบิณฑบาตที่บ้านได้) |
๙. ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ว่าดังนี้ ฉันนัง ปะฏิกขิปามิ รุกขะมูลิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดสถานที่มุงที่บัง ขอสมาทานองค์ของผู้อยู่ที่โคนไม้เป็นวัตร (อยู่โคนไม้เป็นวัตร เราจะไม่เข้าถ้ำเข้ากระท่อม ไม่อยู่กลางแจ้ง จะเดินไปโน่นไปนี่ได้ แต่จะอาศัยอยู่ที่โคนไม้ ข้อนี้ท่านแนะนำให้ถือเฉพาะเวลาก็ได้) |
๑๐. ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ว่าดังนี้ ฉันนัญจะ รุกขะมูลิกัญจะ ปะฏิกขิปามิ อัพโภกาสิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดสถานที่มุงที่บังและโคนไม้ ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร (ไม่อิงเพิง ไม่อิงฝา ไม่อิงโคนไม้ อยู่แต่กลางแจ้ง แต่ใช้กลดเพื่อกันแดดกันลมได้) |
๑๑. ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ว่าดังนี้ นะสุสานัง ปะฏิกขิปามิ โสสานิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดสถานที่อยู่อันมิใช่ป่าช้า ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร (อยู่เฉพาะในป่าช้า แต่ออกมาบิณฑบาตได้) |
๑๒. ถือการอยู่ในสถานที่ตามที่จัดให้เป็นวัตร ว่า เสนาสะนะโลลุปปัง ปะฏิกขิปามิ ยะถาสันถะติกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดความโลเลในสถานที่อยู่ ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการอยู่ในสถานที่ตามที่จัดให้เป็นวัตร (เขาจัดให้อยู่ที่ตรงไหน..ก็อยู่ตรงนั้น จะไม่ขอไปอยู่ที่ตรงนั้นตรงนี้) |
๑๓. ถือการนั่งเป็นวัตร ว่า เสยยัง ปะฏิกขิปามิ เนสัชชิกังคัง สะมาทิยามิ | ข้าพเจ้างดการนอน ขอสมาทานองค์ของผู้ถือการนั่งเป็นวัตร (ถือตามเวลาที่สมควร ไม่ใช่ถือกันตลอดวัน ถือเฉพาะเวลา เช่น เวลานั่งกรรมฐานเป็นต้น ถ้านั่งตัวตรงไม่เอามือยัน ...ถือเป็นขั้นอุกฤษณ์ ถ้าเอามือยัน...ขั้นธรรมดา..หย่อนไปหน่อย ถ้าหลังแตะพื้น..ก็ถือว่าขาดจากธุดงค์ข้อนี้) |
การปฏิบัติธุดงค์นี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังได้แนะนำต่อไปอีกว่า ก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในที่ใด จะเข้าป่าก็ดี บ้านร้างก็ดี ในถ้ำก็ดี ในหุบเขาก็ดี ก่อนที่จะเข้าไปถึงที่นั่น ให้แผ่บทเมตตาจิตด้วยบท "เมตตัญจะ" ( อยู่ตอนท้ายขอบทกรณียเมตตสูตร ) แล้วตั้งใจไว้ว่า
"ขอท่านที่อยู่ที่นี้ทั้งหมด บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย เทวดาหรือพรหมก็ดีที่รักษาที่นี้ เราขออาศัยสถานที่ท่านอยู่ เราขอยอมรับนับถือในท่าน ว่าท่านเป็นผู้มีสิทธิ์ ขอท่านได้โปรดคุ้มครองให้เรามีความสุขปลอดภัยจากอันตราย แล้วก็ช่วยส่งเสริมในการเจริญสมณธรรมด้วย.."
เมื่อเข้าไปอยู่แล้วให้สวดเป็นปกติ แต่ถ้าเป็นจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน อันนี้ต้องว่าอีกบทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทเมตตาเหมือนกัน คือบท "วิรูปักเข" สำหรับบรรดาสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์มีเท้าน้อย สัตว์มีเท้ามาก..รวมหมด!
ส่วนบท "วิปัสสิส" ( ที่เขาสวดเวลาทำพิธีภาณยักษ์กัน ) อันนี้ไปที่ไหนไม่ควรใช้นะ ถ้าเผลอเมื่อไหร่ เทวดาเขาตีพังเมื่อนั้นแหละ เอาไปเป็นบทขับผีขับเทวดาไม่ควรอย่างยิ่ง บทที่เป็นศัตรูกับเขาอย่าใช้ ใช้แต่บทที่เป็นมิตร
ทีนี้การปักกลดของพระธุดงค์ จงอย่าให้ใกล้บ้านเข้ามาน้อยกว่า ๑ กิโลเมตร อันนี้ต้องถือเป็นปกติ เพราะว่าเวลากลางคืน ชาวบ้านเขาคุยกัน เราไม่ได้ยินเสียงเด็กเล็กมันร้อง เราไม่ได้เสียง เสียงจะได้ไม่รบกวนเราจะปฏิบัติสมณธรรมได้แบบสงัด..แบบสบาย แล้วก็ไม่ห่างเกินไป เวลาเข้ามาบิณฑบาตก็ไม่ไกลเกินไป
แล้วการปักกลดก็ต้องดูสถานที่เสียก่อน ว่าเราควรจะปักตรงไหน มันเป็นที่เขาหวงห้ามหรือเปล่า ถ้าที่เขาหวงห้ามก็อย่าปัก เพราะว่าถ้าปักแล้วมันถอนไม่ได้ ปักกลดลงไปแล้ว ฝนจะตก สัตว์ร้ายจะพึงมี นี่ถอนไม่ได้เด็ดขาด ตายให้มันตายไปเลย ต้องตัดสินใจตามนั้น คือ แทนที่เราไม่ชอบใจตรงนี้ เราจะหนีไปตรงโน้น..อันนี้ไม่ได้!
เวลาจะปักกลดนี่ ท่านให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เขาให้ว่า คาถาบารมี ๓๐ ทัศ ไปเรื่อย ๆ กี่จบก็ได้ จนกว่าจะปักเสร็จ พระคาถาว่าดังนี้...
อิติ ปาระมิตตา ติงสา อิติ สัพพัญญู มาคะตา
อิติ โพธิมะนุปปัตโต อิติปิ โส จะ เต นะโม
ถ้าปักเสร็จแล้ว เวลาจะตอกหลักขึงสายอัพโภกาส ( สายเชือกที่ขึงกลด ) ท่านให้ว่าคาถาบทนี้
"ภะสัมสัม วิสะเทภะ"
ว่าไปเรื่อย ตอกไปเรื่อยจนกว่าจะแน่น เวลาผูกก็เหมือนกัน ให้ว่าคาถาบทนี้จนกว่าจะผูกเสร็จ คาถาบทนี้เขาเรียก "คาถาตวาดป่าหิมพานต์" เขาตวาดช้างหนีนะ เป็นคาถามหาอำนาจไล่ช้างหนีได้ สัตว์ไม่กล้าเข้า สัตว์จะมาวนได้แค่หลักนะ เข้ามาในหลักไม่ได้
บทเมตตัญจะ |
เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ |
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน กาเมสะ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติฯ |
บทวิรูปักเข |
วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม มา มัง อะปาทะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ มา มัง หิงสิ พะหุปปะโท |
สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา สัพเพ ภัทรานิ ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมา |
อัปปะมาโณ พุทโธ อัปปะมาโณ ธัมโม อัปปะมาโณ สังโฆ ปะมาณะวันตานิ สิริงสะปานิ อะหิ วิจฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี สะระพุ มูสิกา กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ โสหัง นะโม ภะคะวะโต นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานังฯ ( หมายเหตุ : ก่อนที่จะสวด ๒ บทนี้ ควรตั้งนะโม ๓ จบ แล้วสวด "อิติปิ โส" ก่อน ) |
สำหรับอุบาสกอุบาสิกา
ตามที่ได้เกริ่นไว้ในตอนแรกแล้วว่า จะแนะนำเรื่อง "ข้อวัตรที่ควรศึกษา" ในตอนท้าย เพื่อนำมาประยุกต์กับอุบาสกอุบาสิกา ขณะที่ร่วมปฏิบัติธุดงค์ เป็นการฝึกจริยามารยาทให้เรียบร้อยตามพุทโธวาท เพื่อให้สมภาคภูมิกับที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นหนึ่งในพุทธบริษัททั้ง ๔ ของพระองค์
สำหรับ "เสขิยวัตร" หรือ "ข้อวัตรที่ควรศึกษา"นั้น พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้พระภิกษุสามเณรควรศึกษาไว้เป็นธรรมเนียมเพื่อควรปฏิบัติต่อไป จัดเป็น ๔ หมวด ดังนี้
๑. สารูป ว่าด้วยธรรมเนียมควรประพฤติในเวลาเข้าบ้าน
๒. โภชนปฏิสังยุต ว่าด้วยธรรมเนียมรับบิณฑบาตและฉันอาหาร
๓. ธัมมเทสนาปฏิสังยุต ว่าด้วยธรรมเนียมไม่ให้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้แสดงอาการไม่เคารพ
๔. ปกิณกะ ว่าด้วยธรรมเนียมถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ในที่นี้จะนำมาแนะนำเพียง ๒ หมวดแรกเท่านั้น ที่พอจะอนุโลมนำมาปฏิบัติได้ในขณะที่ บวชพราหมณ์กัน นั่นก็คือ ..
หมวดสารูป
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งห่มให้เรียบร้อย สำหรับผู้ที่บวชพราหมณ์ ชายและหญิง ก็ปฏิบัติในข้อนี้อยู่แล้ว ด้วยการแต่งการแบบสุภาพ คือ ชุดขาว โดยเฉพาะ"ชีพราหมณ์" ถ้าจะให้เรียบร้อยจริง ๆ ควรจะนุ่งเป็นผ้าถุงก็จะดี ถือเป็นการอนุรักษ์ธรรมเนียมของหญิงไทย "เวลาไปวัด"ด้วย
๒. เราจักปกปิดกายด้วยดี , จักไม่เวิกผ้า ขณะที่ไปในบ้านหรือนั่งในบ้าน ข้อนี้สำหรับฆราวาสควรระมัดระวังเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยอยู่เสมอ
๓. เราจักระวังมือเท้าด้วยดี , จักมีตาทอดลง , จักไม่หัวเราะ , จักไม่พูดเสียงดัง , จักไม่โคลงกาย , จักไม่ไกลแขน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ ท่านหมายเอาอาการรักษา "กาย วาจา" ให้เรียบร้อย คือ ไม่คะนองมือคะนองเท้า ไม่มองเลิ่กลั่ก ไม่หัวเราะสรวลเฮฮา หรือกระเซ้าเย้าแหย่กัน จะยิ้มหรือหัวเราะก็แต่เพียงเบา ๆ
เวลาจะพูดกันก็พูดเรื่องเฉพาะกิจจริง ๆ อย่าใช้เสียงดังจนเกินไป เมื่อหมดธุระแล้ว ก็พยายามปลีกตัวไปอยู่แต่ผู้เดียว ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ จะเป็นเพื่อนหรือญาติมิตรที่มาด้วยกัน (ชั่วคราว) เวลาเดินก็เดินโดยอาการปกติ ไม่โคลงกาย และแกว่งแขนจนเกินพอดี
ข้อสารูปนี้นำมาโดยเพียงแค่นี้ พอที่ฆราวาสจะนำมาประพฤติปฏิบัติได้ในขณะที่บวชพราหมณ์ ชายและหญิง เพื่อให้สมกับที่เป็นพระเช่นกัน ตามที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็น "พระโยคาวจร" นั่นเอง
หมวดโภชนปฏิสังยุต
หมวดนี้ จะขอนำมาโดยย่อ พอที่จะปฏิบัติได้ดังนี้...
๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ ในข้อนี้ พระองค์ทรงสอนให้แสดงความเอื้อเฟื้อให้บุคคลผู้ให้ ไม่ใช่รับด้วยการดูหมิ่น
๒. เราจักแลดูแต่ในบาตร , จักรับแกงพอควรแก่ข้าวสุก , จักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ , เมื่อฉันบิณฑบาตจักแลดูแต่ในบาตร เป็นต้น ในข้อนี้ผู้บวชพราหมณ์ทั้งหลายก็เช่นกัน เวลาที่เดินเข้าแถวต่อจากพระภิกษุสามเณร ในขณะที่เข้าไปตักอาหารไม่ควรมองสอดส่องเพื่อเลือกหาอาหารที่ตนเองชอบ
เมื่อจะตักข้าวและกับ ควรจะตักให้พอประมาณแล้วเดินไปด้วยอาการสำรวม ควรหาที่นั่งรับประทานให้เรียบร้อย ( ไม่ควรยืน )
เวลาจะกินควรจะพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา ไปด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องนั่งคุยกันมากเกินไป และประการสำคัญ อย่าติดรสอาหารจนเกินไป
ข้อนี้หมายถึงตักอาหารมากินแล้วไม่ชอบใจ กลับตำหนิติเตียนผู้ทีทำอาหาร หรือเพ่งโทษผู้ที่ตักอาหารที่ตนเองชอบไปหมด อย่างนี้เป็นต้น ท่านถือว่า "ฉันบิณฑบาตโดยไม่เคารพ"
๓. เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว , จักไม่ฉันแลบลิ้น , จักไม่ฉันดังจับ ๆ หรือดัง ซูด ๆ , จักไม่ฉันเลียมือ , จักไม่ฉันขอดบาตร , จักไม่ฉันเลียริมฝีปาก , จักไม่เอามือเปื้อนจับแก้วน้ำ เป็นต้น
ข้อนี้ท่านสอนให้ฉันด้วยอาการสำรวม ไม่ฉันมูมมามสกปรก เป็นที่น่ารังเกียจต่อผู้อื่น ผู้บวชพราหมณ์ทั้งหญิงและชาย ควรถือเป็นข้อปฏิบัติด้วย ก็จะแลดูกิริยาสวยงามเช่นกัน
เสขิยวัตร เป็นข้อวัตรที่ควรศึกษา เพื่อนำไปปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสามเณร ส่วนฆราวาสจะนำไปปฏิบัติด้วยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของจริยามารยาท อันเป็นธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติในเรื่อง การแต่งกาย การเดิน การนั่ง การกินอาหาร และการพูด ให้อยู่ในอาการสำรวมระวัง
เพื่อเป็นการรักษาความสงบทางกายวาจาใจ อันเป็นบันไดเข้าสู่มรรคผลนิพพานต่อไป ควรที่พระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกา จะนำมาประพฤติปฏิบัติให้เหมาะกับที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นพุทธบริษัท ๔ อันมีเชื้อสายมาจากศากยบุตรชิโนรส ควรนำมาปฏิบัติให้พอดีพองามคือ..
ไม่เคร่งหรือไม่หย่อนจนเกินไป ให้ถูกกับกาลเทศะ เพื่อไม่ให้คนภายนอกพระศาสนาปรามาสว่าหลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว สาวกทั้งหลายของพระองค์ ต่างพากันเหยียบย่ำทำลายพระพุทธศาสนาด้วยการนุ่งห่มไม่เรียบร้อย การกินการอยู่ไม่มีอาการสำรวม เป็นต้น
ฉะนั้น เมื่อเราหลีกเร้นออกมาจากการครองเรือนชั่วคราว เพื่อมาปฏิบัติเนกขัมมะบารมี ก็ต้องสังวรณ์ไว้เสมอว่า เราเป็นนักบวชประเภทหนึ่ง ที่แต่งกายไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาแล้ว จะทำอะไรก็ต้องสำรวมระวังไว้เสมอ
แต่ก็ทำแค่พอดีนะ ถ้าไม่หลับนอน ไม่พูดจากับใครหลายวัน โรคประสาทกินแน่ มีตัวอย่างมาแล้ว ฉะนั้น จงทำตนเป็นผู้เลี้ยงง่าย มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ อย่าเป็นคนเรื่องมาก เป็นต้น
สุดท้ายนี้ ขอให้เจ้าภาพผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้และท่านผู้อ่านทั้งหลาย จงตั้งใจประพฤติจรรยามารยาทแต่พอประมาณ อย่านำข้อปฏิบัติไปเพื่ออวด หรือยกตนข่มท่าน และเพ่งโทษผู้อื่น เป็นอาทิ
ข้อสำคัญจะต้องรักษากฎระเบียบทั้งหมดของสำนัก อีกประการหนึ่ง ท่านตั้งสัจจอธิษฐานในข้อวัตร หรือการปฏิบัติธุดงค์อย่างไร ก็ควรจะปฏิบัติให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ แต่อย่าตั้งใจทำเพื่อทรมานตัวเองนะ มันจะไม่เกิดผล จะบกพร่องในตัวของเรามีอะไรบ้าง เมื่อมาปฏิบัติที่วัดแล้วมันจะเริ่มออกมาให้เราเห็น เพราะความเห็นแก่ตัวเป็นต้น พยายามปรับปรุงแก้ไขให้ได้
ครั้นกลับไปถึงบ้านแล้ว ความประพฤติที่ดี ที่เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้เกิดความสุขกับคนรอบข้าง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายของศากยวงศ์ คือ วงศ์ของ "เจ้าศากยะ" นั่นเอง
เพื่อที่จะได้เรียกพระนามของพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น "พุทธบิดา" อย่างแท้จริง เหมือนกับผู้ที่อุบัติในกรุงกบิลพัสดุ์ ฉะนั้น จึงไม่ควรประพฤติให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูลของพระองค์...สวัสดี
Copyright © 2001 by |
Amine |
23 ก.ย. 2545 13:39:16 |