บุคคลตัวอย่าง พุทธานุสสติกรรมฐาน

*--*มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร*--*

"...การยอมรับนับถือ บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องนับถือด้วยความจริงใจเป็นส่วนตัวด้วย และก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านด้วย สิ่งใดท่านห้ามว่าไม่ดี อย่าทำ สิ่งใดท่านแนะนำว่าอย่างนี้นี่เป็นจุดของความสุข จงทำ เราทำอย่างนี้ถือว่า นับถือพระพุทธเจ้าจริง แต่ว่าปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งในด้านศีลก็ดี ในด้านธรรมก็ดี คำสั่งสอนพระพุทธเจ้านี่มีถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาปฏิบัติทั้งหมด เลือกเอาโดยเฉพาะว่าสิ่งไหนที่พอจะปฏิบัติได้ เราทำอย่างนั้น อย่าปฏิบัติเกินกำลัง และตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงจัง อย่างนี้ถือว่าท่านมีความระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริง มีการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง.."

ต่อนี้ไปก็มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้เห็นจะไม่ต้องผ่านสำนักลุง จะเล่าถึงคนไปสวรรค์ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปสวรรค์ คือ ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบุญบารมีของท่านมีความเข้มข้น ถึงแม้ว่ากำลังใจจะเป๋ไปบ้าง แต่ก็มีกำลังเข้มข้น

ท่านประเภทนี้ตายจากความเป็นคน ไม่ต้องไปสู่สำนักพระยายม ไม่ต้องมีการสอบสวน ไม่ต้องเอาพระยายมจัดสรร ตรงไปสวรรค์ทันที

ก็ขอนำ มฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาเล่าสู่กันฟังก่อน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะได้ทราบว่า การไปสวรรค์จริง ๆ เวลาตายจากความเป็นคน ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้นหรือว่าทำบุญมาไม่มากนัก จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อย เพียงประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่ง แต่ว่ามีความจริงใจ

และยิ่งกว่านั้น การตั้งใจเพื่อการทำบุญอาจจะไม่ตรงนัก ตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่น แต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้า อย่างนี้บุญก็บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้

อันนี้จะเป็นตัวอย่างแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวอย่างก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ที่เอาท่านผู้นี้มาอ้างก็เพราะว่า เป็นพุทธพจน์บทพระบาลี ของพระพุทธเจ้า เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าตรัสเอง

เรื่องราวก็มีอยู่ว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีนี่ความจริง ตระกูลนี้ไม่ใช่ตระกูลนับถือพระพุทธศาสนา เป็นตระกูลนับถือพรหมณ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นพราหมณ์ที่เหยียดหยามพระพุทธศาสนาด้วย ไม่มีความเคารพ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวก คือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพุทธศาสนานี่ก็มี แต่พราหมณ์ที่มีเหตุมีผล เห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตามความเป็นจริง ยอมรับนับถือ มีเหตุ มีผล อย่างนี้ก็มี

ทีนี้ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่ เป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าทำอย่างไรเขาก็ไม่นับถือ แล้วก็บิดาของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เป็นอาจารย์ของพราหมณ์ เป็นคณาจารย์ใหญ่ แต่ว่าอยู่ในฐานะคหบดี คือ คนรวยมาก ท่านผู้นี้มีลูกชายคนเดียวคือ ท่านมัฏฐกุณฑลี

แต่ความจริง คนนี้เป็นมนุษย์ชื่ออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าสมัยที่เป็นเทวดามีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า มัฏฐกุณฑลี

ต่อมา ลูกชายป่วยท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว คือ เพียงจะซื้อยาให้ลูกชาย หรือจะหาหมอรักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้ แต่ท่านไม่ทำ เพราะเป็นคหบดีนี่มีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏฺ ไม่ใช่นับเป็นร้อย กลับเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ ไปถามหมอว่า "ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี" หมอเขาก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดา ๆ แกได้ตำรายากลางบ้านมาแล้ว ก็ปรากฏว่า มาตำ มาต้ม หรือมาโขลกมาตำ ให้ลูกชายกินมันก็ไม่หาย ไข้ก็ทรุดลงตามลำดับ

เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องที่เป็นมงคล เป็นสิริ คือ ห้องสวย ๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่า ลูกชายของเราป่วย เขาก็จะมาเยี่ยม แต่คนที่มาเยี่ยมนั้น ถ้าบังเอิญเห็นของที่ชอบใจขอเรา ถ้าไม่ให้กันก็เป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีหลบเรื่องนี้ เพื่อเป็นการไม่ทะเลาะกัน หลบเสีย จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ ลูกชายก็อาการป่วยหนักขึ้นทุกวัน ทวีคูณขึ้น พ่อก็ไม่ยอมหายาอย่างดีมารักษาโรค ตำยา ต้มยา ตามที่หมอกลางบ้านเขาบอก เขาบอกธรรมดา ๆ

ต่อมา อาการทรุดหนักขึ้น แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ความตายปรากฏชัด แต่ทว่าพ่อหนุ่มน้อยมัฏฐกุณฑลี เธอก็ไม่อยากจะตาย ไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดแต่เพียงใจใจว่า เราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นทางของความตาย" ความจริง อาการตายปรากฏชัด แต่เธอยังไม่คิดว่าตาย แต่ว่าเธอจะหันไปหาพ่อ หาแม่ ก็หมดทางที่พ่อแม่จะช่วยเหลือ พ่อแม่ก็ไม่สนใจเท่าทรัพย์สินที่มีอยู่

ในที่สุด ทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่า ชาวบ้านเขาลือกันว่า พระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง ย่อมสงเคราะห์ไม่ว่าใคร แต่เวลานี้เราป่วยหนัก อยากจะให้องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระสมณโคดมมารักษา เราจะได้หายจากโรค

ขอบรรดาท่านผู้อ่าน หรือว่าท่านผู้ฟัง โปรดพิจารณาด้วยว่า ความรู้สึกของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่เขามีความรู้สึกว่า พระองค์มีเมตตา ไม่เลือกบุคคล แต่ใจของเขาเวลานั้น ก็นึกอยากจะให้พระพุทธเจ้ามาช่วยรักษาโรค อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าให้เป็นหมอรักษาโรค ความจริง ถ้าเพ่งดูจริง ๆ แล้ว มันไม่ตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดี ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน แต่นี่เปล่า เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น เขาต้องการให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย

แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาต กับพระอานนท์ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาก็ไม่ไหว้พระพุทธเจ้า ไม่ยอมใส่บาตรด้วย ไม่ยอมยกมือไหว้ เมื่อพระพุทธเจ้าผ่านไป เวลานั้นมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคง เอาหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของเธอ ก็สะดุดใจ เหลียวไป กลับตัวนิดหนึ่ง เหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรกับพระอานนท์กำลังบิณฑบาต เธอจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาต กับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของเธอ นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ขอพระสมณโคดม จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด
ขณะที่เธอนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่มันจะหายจากโรค กลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคน เธอตายเวลานั้นก็ไม่ผ่านสำนักของพระยายม เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงมาก ใหญ่มาก แล้วก็เธอก็เป็นเทวดาประจำที่นั้น มีต่างหูเกลี้ยง จึงมีนามว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร

หลังจากลูกชายตาย พิธีของพราหมณ์ตามบาลีไม่ได้บอกชัดว่า ฝังหรือเผากันแน่ แต่ประเพณีปัจจุบันที่เมืองแขกเขาเผากัน แต่เวลานั้นอาจจะฝังก็ได้ เพราะคนยังน้อย ปรากฏว่า เวลาตอนเช้า ๆ ท่านพ่อก็ไปที่ปากหลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาอยู่นั้น กี่วันก็ไม่ทราบ บาลีเขาไม่ได้บอกชัด บอกไว้แต่เพียงว่า

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เห็นพ่อไปยืนพรรณนาอยู่ที่นั่น ตั้งใจให้กลับมาเกิดใหม่เป็นลูก ก็มีความรู้สึกในใจว่า พ่อของเรานี่เป็นคนพาล

คำว่า "พาล" บรรดาพุทธบริษัท เขาแปลกันว่า "โง่" เป็นคนพาลคือ เป็นคนโง่ ไม่ยอมนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อเวลาเรามีชีวิตอยู่ก็ขี้เหนียว แสนจะเหนียว จะกินจะใช้ก็ไม่ค่อยกิน ไม่ค่อยใช้ มีเท่าไรเก็บหมด ยอมอดมื้อกินมื้อ ยอมกินของเล็ก ๆ น้อย ๆ หมายความว่า ของที่มีค่าไม่สูง แม้จะมีรสไม่อร่อย ก็พร้อมกินเพื่อเก็บทรัพย์สิน เวลาเราป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่ประสงค์จะรักษา ค่ายาซึ่งเป็นของไม่มากนัก ค่าหมอเป็นของไม่มากนัก ในบ้านมีเงินตั้งหลายสิบโกฏิ ก็ไม่ยอมเสียสละเงินค่ายาเพื่อเรา ไม่ยอมหาหมอรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทุกขเวทนา ใช้ยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรคกิน

ในที่สุด เราก็ต้องตาย แต่ว่าการที่มาได้อาศัยพระสมณโคดมบรมครู คือ พระพุทธเจ้า ทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาต แผ่แสงให้ปรากฏชัด

เมื่อเราเห็นองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แล้ว จึงได้มีความนับถือ ยอมรับนับถือ คิดว่าขอพระองค์ช่วยให้หายโรค แต่อาการร่างกายมันเกินวิสัยที่ทรงอยู่ อาศัยที่นึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู ไม่ตรงกับความเป็นบุญนัก คือ ไปตรงกับความต้องการให้รักษาโรค มันก็ไม่ใช่บุญถนัด แต่ถึงกระไรก็ดี แม้แต่เพียงบุญเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพัน มีร่างกายเป็นทิพย์ เป็นบริวาร แต่พ่อของเรานี้จมปราณอยู่กับความโง่ เราต้องไปทรมานพ่อ ให้มีความรู้สึกเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็น สัมมาทิฏฐิคือ มีความเห็นถูกคลายจากความโง่

เมื่อ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร คิดอย่างนี้แล้ว ก็แปลงลงมา แปลงเป็นคนเหมือนรูปเก่า เหมือนรูปเดิม เห็นพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุม เธอก็มายืนร้องไห้บ้าง ใกล้ ๆ กับพ่อ ท่านพราหมณ์เห็นมัฏฑกุณฑลีเทพบุตรมายืนอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า ชายคนนี้เหมือนลูกชายของเรา ถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ ถามว่า

"พ่อคุณเอ๋ย... เธอร้องไห้ทำไม...?"

ชายคนนั้นคือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ตอบว่า
"คุณลุงร้องไห้ทำไม...?"

คุณลุงก็ตอบว่า
"ฉันร้องไห้คิดถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มเป็นแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก ( ชม ตอนนี้ชม ) แต่ทว่าเธอต้องมาตายซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียว ไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าหากว่าลูกของฉันตาย ถ้าเธอกลับมาได้ ฉันจะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ หรือมิฉะนั้น ถ้าเธอไม่รังเกียจ เป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันจะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน"

ท่านมัฏฐกุณฑลีได้ฟัง ก็นึกในใจว่า

พ่อของเราเมื่อเราอยู่ ยาก็ไม่หา ไม่ยอมซื้อยาที่ถูก หมอก็ไม่รักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเรา ซึ่งเป็นคนอื่น จะยอมมอบทรัพย์สมบัติให้กับบุคคลนั้น จึงถามว่า

"ท่านร้องไห้ทำไม...?"

ลุงก็บอกว่า

"ฉันร้องไห้ ต้องการให้ลูกชายฉันมาเกิดใหม่"

ก็รวมความว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีฟังแล้ว ก็คิดว่า ตายจริง พ่อเรานี่โง่มาก คนตายแล้วมันเกิดได้เมื่อไหร่ และท่านลุงก็ถามว่า "เธอร้องไห้ทำไม..?"

ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ตอบว่า
"ฉันร้องไห้นี่ เพราะว่า ฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่ง สวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้"

ท่านคหบดีก็ถามว่า
"เธอต้องการอะไร?" ต้องการล้อเงินหรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์"

มัฏฐกุณฑลีก็คิดว่า นี่เราคนอื่น เธอจะให้ล้อเงินกับล้อทอง แต่ว่าเวลาที่อยู่ไม่ยอมรักษาให้ ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้ จะไปไหนขี้เหนียวสตางค์ก็ไม่ค่อยให้ จึงแกล้งบอกว่า "ฉันต้องการ ดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ มาเป็นล้อทั้งสองข้าง ดวงอาทิตย์ล้อข้างหนึ่ง ดวงจันทร์ข้างหนึ่ง"

ท่านพราหมณ์ก็เอะใจ คิดว่า ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้า ก็เลยบอกว่า "เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ ใครจะนำมาได้"

ท่านมัฏฐกุณฑลีก็ถามว่า
"โภ ปุริสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ คนที่ต้องการสิ่งที่มองเห็น กับคนที่ต้องการสิ่งที่มองไม่เห็น ใครจะบ้ามากกว่ากัน เวลานี้ลูกชายของท่านอยู่ที่ไหน ท่านทราบไหม?"

พราหมณ์ก็บอกว่า "ไม่ทราบ"

"ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์ กับดวงอาทิตย์ที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการลูกชายที่เห็นไม่ได้ ผมกับท่านใครจะบ้ามากกว่ากัน?"

เป็นอันว่า พราหมณ์ยอมรับว่า บ้ามากกว่าเขา ในที่สุด มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่า ตัวท่านเองคือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เป็นลูกชายของท่านพราหมณ์ เวลานี้ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พราหมณ์ก็ถามว่า ไปได้เพราะเหตุใด

ท่านก็ตอบว่า ก่อนจะตายเห็นพระสมณโคดมกับพระอานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นึกถึงพระสมณโคดม ขอให้มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่ก็เป็นการบังเอิญ มันไม่หาย แค่นึกถึงชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร ตายจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๑,๐๐๐ คน มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ จึงแนะนำว่า

"ต่อนี้ไป ขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีลในสำนักของท่าน จงฟังเทศน์ในสำนักของท่าน ตายแล้วจะไปสวรรค์"

ท่านมัฏฐกุณฑลีว่าแล้ว ก็ลากลับไป

หลังจากนั้น พราหมณ์ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ กลับไปบ้าน ดีใจ บอกแม่บ้านว่า

วันนี้ฉันจะไปนิมนต์พระสมณโคดม กับพระสาวกมาฉันภัตตหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มาก" แล้วก็หลีกไป

ครั้นเมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว เวลานั้นปรากฏว่า มีชาวบ้านหลายพวก สองฝ่าย พวกของพราหมณ์บ้าง พวกพุทธศาสนาบ้าง ต่างคนต่างตามไป พวกของพราหมณ์คิดว่า วันนี้เราต้องการดู อทินกบุพกพราหมณ์ คือ พ่อของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

เขาชื่อว่า อทินกบุพกพราหมณ์ ย่ำยีพระสมณโคดม สำหรับพุทธบริษัทก็คิดว่า วันนี้เราจะดูลีลาพระพุทธเจ้าที่สอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ คนทั้งสองฝ่ายก็ไปยืนร่วมกันที่นั่น

เมื่อไปถึงแล้วเขาก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระทรงธรรม์แล้วกล่าวว่า "พระสมณโคดม ( เขายังไม่ยอมรับนับถือ ) ผมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกับท่าน ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้ในสำนักของท่าน นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ มีไหม?"

องค์สมเด็จพระจอมไตร ก็ตรัสว่า

"พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อย นับพัน แต่นับเป็นโกฏิ"

หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน มัฏฐกุณฑลีมาแล้ว ก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่นั่น ต่างบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านผู้รับฟัง หรือผู้อ่าน ที่นำเรื่องนี้มา อาจจะยาวไปหน่อยก็เพราะว่า ต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถึงแม้ว่ากาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือมา แต่เวลาใกล้จะตาย ก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาอย่างมัฏกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอน ไม่ต้องผ่านสำนักพระยายม

แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้เปรียบกว่ามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่า ทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อน และปัจจุบันก็ยังยอมรับนับถืออยู่ เวลานี้ทุกคนก็ยังมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือ ตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒ - ๓ นาที ว่า

ความดีขององค์สมเด็จพระชินศรีที่มีแล้ว ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ แล้วก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง

สมมติว่า ตั้งใจจะให้ทาน พระพุทธเจ้าแนะนำว่า ทานเป็นของดี ก็คิดในใจว่า เราต้องการให้ทาน ถ้าโอกาสจะพึงมี เพียงเท่านี้ จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสสติกรรมฐาน กับ จาคานุสสติกรรมฐาน

ถ้าเวลาตาย บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อย่างเลวที่สุด ก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าอย่างสูงที่สุดก็เห็นจะต้องเป็น นิพพาน เพราะว่า พระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า

"บุคคลใดเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นประจำ คนนั้นไปนิพพานง่ายที่สุด"

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มองเวลาก็หมดเวลาพอดี ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังหรือผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

จะรักษาคำสอนบวรสวัสดิ์                     จะปฏิบัติกายใจให้ผ่องศรี  
จะเทิดทูนคุณงามและความดี จะเพิ่มพูนสามัคคีมีเมตตา
จะทรงอภิญญาจารวัตร จะปกป้องสมบัติพระศาสนา
จะสืบทอดสาธารณะปฏิปทา จะยังประโยชน์ปวงประชาสืบไป
( จากคำกลอนราชพรหมยานบูชา )
Copyright © 2001 by
Amine
08 ต.ค. 2544 21:41:12