พุทธานุสสติเป็นวิปัสสนาญาณ

วันนี้ก็จะขอพูดเรื่อง พุทธานุสสติต่อ เพราะว่าพุทธานุสสติตามที่อธิบายมาแล้ว เราจัดเป็นระดับ ๔ ระดับด้วยกัน คือ

อันดับแรก การพิจารณาตามแบบ คือ พิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า โดยใช้คำว่า อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ เป็นต้น ใช้จิตใคร่ครวญในด้านของจริยาของพระองค์ สร้างความเลื่อมใสให้เกิด สร้างความผูกใจให้เกิดในพระพุทธเจ้า อย่างนี้ผลจะพึงมีได้ เพียงแค่อุปจารสมาธิ

ถ้าเราจะทำพุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌานสมาบัติ ท่านสอนให้จับภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราพอใจ เวลาที่ภาวนาไปว่า พุทโธ หรือ อรหัง ก็ตาม เอาจิตนึกภาพนั้นเป็นอารมณ์ อย่างนี้ถือว่าเอาภาพพระพุทธรูปเป็นกสิณ ถ้าปฏิบัติแบบนี้ก็สามารถทรงเข้าถึงฌานที่ ๔ ได้ จัดว่าเป็น รูปฌาน

ถ้าจะทำพุทธานุสสติให้เป็นอรูปฌาน เป็นสมาบัติ ๘ ก็ให้จับภาพพระพุทธรูปนั้นทรงอารมณ์จิต ให้เข้าถึงฌาน ๔ เมื่อทรงจิตสบายดีแล้วก็เพิกภาพกสิณนั้นทิ้งไป คือ ถอนภาพออกจากใจ พิจารณาอากาศวิญญาณ ความไม่มีอะไรทั้งหมด แล้วสัญญาหรือไม่มีสัญญา ที่เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญาสัญญายตนะ คือ ไม่พิจารณารูปเป็นสำคัญ ไม่ต้องการรูป ต้องการแต่นามฝ่ายเดียว

เพราะท่านที่ปฏิบัติแบบนี้ เพราะมีความรังเกียจในรูป ถือว่ารูปเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ เกิดไปชาติหน้าไม่ต้องการรูปอีก และเป็นสมถภาวนาจัดเป็น อรูปฌาน

ในอันดับนี้ เราต้องการจะใช้ พุทธานุสสติกรรมฐานให้เป็นวิปัสสนาญาณ ท่านก็ให้ตั้งอารมณ์จิตของเรายึดภาพพระพุทธรูปเป็นอารมณ์ ทำภาพให้เห็นชัดด้วยจิตเป็นสมาธิถึงฌาน ๔

แล้วก็สามารถจะบังคับรูปนั้นให้เล็กก็ได้ ให้โตก็ได้ แล้วบังคับให้หายไปก็ได้ เป็นไปตามความต้องการ บังคับให้รูปนั้นปรากฏขึ้นก็ได้ หายไปก็ได้ สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ แล้วก็จับภาพนั้นเป็นอารมณ์ พิจารณาว่าพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้

ความจริง พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด มนุษย์ผู้มีความอัศจรรย์ ไม่มีบุคคลใดจะเสมอเหมือน

แต่ว่าพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยที่มีชีวิตอยู่ ก็มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ เทวดาหรือพรหมก็ตามก็ไม่สามารถจะทรงขันธ์ ๕ ให้ยืนยงคงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด

ทีนี้มานั่งมองตัวของเราเอง พิจารณาตัวของเราเองว่า พระพุทธเจ้านะดีกว่าเราหลายล้านเท่า ความดีของเราได้หยดหนึ่งในหลายล้านเท่าของท่านก็ไม่ได้

ในเมื่อขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ไม่สามารถจะทรงอยู่ได้ เราซึ่งมีความดีไม่ถึง ขันธ์ ๕ มันจะทรงอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องมีความเกิดขึ้น มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน ขณะที่ทรงตัวอยู่ก็เต็มไปด้วยอำนาจของความทุกข์

นี่ มองเห็นขันธ์ ๕ ของพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีความจีรังยั่งยืน แล้วก็เข้ามาเปรียบเทียบกับขันธ์ ๕ ของเรา

ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา

ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ ๔ คือ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันทรงกายอยู่ได้ชั่วคราว แล้วมันก็สลายตัวไปในที่สุด

เมื่อการสลายตัวของมันปรากฏขึ้น ถ้ากิเลสของเรายังไม่หมดเพียงใด มันก็ต้องไปเกิดแสวงหาความทุกข์อีก เมื่อตายใหม่กิเลสมันยังไม่หมด มันก็ต้องไปเกิดใหม่ ให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาอีกหาที่สุดมิได้ จะเทียบกันได้กับพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรายกขึ้นเป็นกสิณ

ถ้าเราต้องการให้พระรูปโฉมปรากฏ ก็ปรากฏขึ้น เราต้องการให้หายไป สลายตัวไป การสลายตัวไปไม่ใช่จะสลายไปหมด เราต้องการให้ภาพนี้ปรากฏ ก็กลับมาปรากฏตามเดิม สลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ การที่ภาพหายไปถือว่าเป็นสภาวะของอนัตตา เราบังคับไม่ได้ แล้วภาพที่ทรงอยู่ก็ถือว่าอัตตา ทรงอยู่ แต่เป็นอัตตาชั่วคราว ต่อไปก็เป็นอนัตตา คือ สลายตัว

นี่เราก็มานั่งพิจารณาร่างกายของเรา ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า

ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เป็นต้น

นี่เรียกว่าทุกอย่าง เราเกิดมามันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขอะไรไม่ได้ ในเมื่อร่างกายของเราไม่มีความสุข ร่างกายของพระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีความสุข เมื่อขันธ์ ๕ มันเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์

ดูตัวอย่างพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะทรงตัวได้ฉันใด ร่างกายของเราที่เต็มไปด้วยความทุกข์ มันก็ไม่สามารถจะทรงตัวไว้ได้ฉันนั้น มีความเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อมไป แล้วมีการสลายตัวไปในที่สุด

ในขณะที่ทรงกายอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม มีเหงื่อ มีไคล มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เต็มไปทั้งร่างกายไม่มีอะไรเป็นของน่ารัก ไม่มีอะไรเป็นของน่าชม มีแต่ของน่าเกลียด ฉะนั้น ถ้าตายแล้วคราวนี้ ถ้าเราต้องเกิดใหม่เราก็ต้องไปแบกทุกข์ใหม่

การที่เราจะไม่แบกทุกข์ต่อไป จะทำอย่างไร?

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราละสังโยชน์ ๑๐ ประการ อาศัย สักกายทิฏฐิ ตัวเดิมเป็นตัวปฏิบัติ คือ เป็นตัวตัด เอามาพิจารณาร่างกายว่า อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มันเกิดขึ้นแล้วมันต้องตายแน่ ถ้าการเกิด เกิดแล้วตายมีอยู่ตราบใด เราก็ยังไม่พ้นทุกข์ตราบนั้น

ฉะนั้น ขันธ์ ๕ ที่เต็มไปด้วยความสกปรก ขันธ์ ๕ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการนั้นก็คือ พระนิพพาน อย่างเดียว

การที่เราจะต้องการพระนิพพานได้นั้น เราจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป?

ในเมื่อเราเห็นว่า ขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ชาติปิ ทุกขา เกิดเป็นทุกข์ เราเชื่อท่าน ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ เราเชื่อท่าน มรณัมปิ ทุกขัง เมื่อความตายเข้ามาถึง เป็นทุกข์ เราเชื่อพระองค์พร้อมไปด้วยของจริง

เพราะความตายร่างกายต้องถูกบีบคั้นอย่างหนัก มีทุกขเวทนาอย่างหนัก มันจึงจะตายได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริง นี่เราไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วต่อไปเราก็ตั้งใจเกาะศีลให้บริสุทธิ์ ศีลถ้าเราเกาะได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นการตัดอบายภูมิทั้ง ๔ ประการ มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ฆราวาสตั้งใจทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ สำหรับสามเณรทรงศีล ๑๐ ให้บริสทุกธิ์ สำหรับพระทรงศีล ๒๒๗ ให้บริสุทธิ์

แล้วก็นั่งพิจารณาร่างกายว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันแก่ลงไปทุกวัน มันพังลงไปทุกวัน ไม่ช้าก็สลายตัว ตัดความเมาในร่างกายเสีย อย่างนี้ก็ถือว่าเข้าถึงความดี เป็นอันดับแรก การตัดสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการได้ จัดว่าเป็นพระโสดาบัน นี่เป็นทุนแล้ว

ต่อไปก็ขยับจิตให้สูงขึ้นไปกว่านั้น เพราะมันยังต้องเกิดอยู่อีกนี่ พระโสดาบันน่ะ เราก็มาพิจารณาร่างกายเป็นอสุภกรรมฐาน ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี

ในอันดับแรก พิจารณาเป็น กายคตานุสสติกรรมฐาน ว่า ร่างกายนี้เป็นชิ้น เป็นท่อน มันไม่ได้เป็นแท่งทึบ แท่งอันเดียวกัน ข้างในเป็นโพรงเต็มไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ น้อม กายคตานุสสติกรรมฐาน เข้าไปหาอสุภกรรมฐาน

เห็นว่า อัตภาพร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อยู่ข้างใน เป็นต้น ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทั้งร่างกายของเรา มีสภาพเหมือนกับซากศพที่เคลื่อนที่ได้ หรือเหมือนกับส้วมที่เคลื่อนที่ได้ มันเต็มไปด้วยความสกปรก ไม่มีอะไรจะเป็นที่น่ารัก

เมื่อพิจารณาในด้านอสุภกรรมฐาน แล้วก็จับกายคตานุสสติขึ้นมาพิจารณาต่อว่า ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ก็มีสภาพเหมือนกัน มันมีแต่ความสกปรกเหมือนกัน เราจะไปมันไปนั่งยึดถือว่า ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราเพื่อประโยชน์อะไร เพราะว่านอกจากจะสกปรกแล้ว ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ ความแก่เข้ามาท่วมทับ แล้วก็มีความตายไปในที่สุด

พิจารณาแบบนี้ ค่อย ๆ พิจารณาไป ปัญญามันจะเกิด เกิดนิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อหน่าย เห็นว่าขันธ์ ๕ คือ ร่างกายไม่เป็นแก่นสาร ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นที่พึงปรารถนาสำหรับเรา

เมื่อ นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายบังเกิดขึ้น ก็พิจารณาเรื่อยไป ให้จิตเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ

ความหนาว ความร้อน ปรากฏขึ้น การกระทบกระทั่งจากวาจาที่ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้างปรากฏขึ้น อาการของจิตมีความรู้สึกว่า นี่มันเป็นของธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นทุกข์

ความป่วยไข้ไม่สบายบังเกิดขึ้น ก็ถือว่านี่มันเป็นหน้าที่ มันเป็นภาระของขันธ์ ๕ คือ ร่างกายมันต้องป่วย

ความทรุดโทรมเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมันมีความเกิดแล้ว ก็มีความแก่ไปในที่สุด

อาการกระทบกระทั่งกับคำนินทาว่าร้ายต่าง ๆ ก็คิดว่า คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน หาความทรงตัวอะไรไม่ได้ แม้แต่วาจาเป็นเครื่องกล่าวกระทบกระทั่งนี้ จัดว่าเป็น โลกธรรม เป็นธรรมดาของคนเกิดมาในโลก ทำจิตให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมดา

เมื่อถูกด่าใจก็สบาย อาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ใจก็สบาย ความกระทบกระทั่งอารมณ์เป็นที่ไม่ชอบใจเกิดขึ้น ใจก็สบาย ความกระทบกระทั่งอารมณ์เป็นที่ไม่ชอบใจเกิดขึ้นใจก็สบาย ใครเขาชมก็ไม่หวั่นไหวไปตามคำชม ตัดอารมณ์แห่งความโกรธเสียได้ ตัดอารมณ์ความทุกข์ คือ ความเกาะขันธ์ ๕ เสียได้ อย่างนี้ชื่อว่าเป็น พระอนาคามี

เพราะการพิจารณาร่างกายในด้านอสุภกรรมฐานเป็นการตัดความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส จนกระทั่งความรู้สึกในเพศไม่มี การยอมรับนับถือกฎธรรมดาของโลก

ใครเขาด่าก็ถือว่าเป็นธรรมดา เขาว่าก็เป็นธรรมดา เขาเสียดสีก็เป็นเรื่องธรรมดา ใจไม่มีความหวั่นไหว ใจไม่มีการสะทกสะท้าน คือ ไม่มีความหนักใจ ไม่มีการเจ็บใจ ถือว่าธรรมดาของคนเกิดมาในโลกเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ชื่อว่า ตัดโทสะลงไปเสียได้ มีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา

เมื่อเราตัดโทสะได้ ตัดกามราคะได้ ทั้ง ๒ ประการ ท่านเรียกว่า พระอนาคามี

ทั้งนี้เพราะอะไร เรายึดเอาพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ เป็นที่ตั้ง คือ กสิณ แล้วพิจารณาร่างกายของพระพุทธเจ้า ร่างกายของเรา ร่างกายของชาวบ้าน เอามาเปรียบเทียบกันว่า ไม่มีการทรงตัว มีการเสื่อมไป มีการสลายไปในที่สุด จะมานั่งรักความสวยสดงดงามอันเต็มไปด้วยความหลอกลวงเพื่อประโยชน์อะไร จะทำจิตหวั่นไหวไปในโลกธรรม ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายมันทรงตัวไม่นาน แล้วมันก็พัง

ในเมื่อเรายับยั้งอารมณ์จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาได้ทุกอย่าง ก็ชื่อว่าเป็นพระอนาคามี เกือบจะเป็นอรหันต์อยู่แล้ว อย่างนี้ตายแล้วไม่ต้องเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือ พรหม แล้วก็นิพพานบนนั้น

ต่อไปเราต้องการทำจิตใจให้ถึงความเป็นอรหันต์ ก็มาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงศึกษาในสำนักของอาจารย์ทั้งสอง คือ อาฬารดาบส อุทกดาบสรามบุตรเป็นต้น ได้ฌาน ๔ คือ รูปฌานและอรูปฌาน รูปฌานและอรูปฌานนี่เป็นปัจจัยให้เข้าถึงความดี คือ มีจิตตั้งมั่น

แต่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ก็เห็นว่ายังไม่ใช่ที่สุดของความทุกข์ ยังไม่จบกิจ ยังชื่อว่ายังไม่ถึง โมกขธรรม ธรรมเป็นเครื่องพ้นแห่งความตาย ยัง ยังไม่ถึง เราก็ถือจริยาของพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ ว่าอารมณ์ของเราที่เข้าถึงอนาคามี นี่มันยังมีทุกข์ คือ ยัง มีอารมณ์สำคัญอยู่ เห็นว่า รูปฌานเป็นของดี อรูปฌานเป็นของดี ยังมี มานะถือตัวถือตนพอสมควาร ยังมีอุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ยังมี อวิชชา ความโง่ บางอย่างยังติดตัวอยู่

องค์สมเด็จพระบรมครูกลว่าว่า ถ้าเราจะตัดความโง่ให้หมด ก็ให้ใคร่ครวญหาความจริงว่า รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ทั้งสองประการนี่เป็นแต่เพียงบันไดก้าวเข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น ไม่ใช่อารมณ์ที่เข้าถึงพระนิพพาน

แต่ว่ารูปฌานและอรูปฌานทั้งสองประการนี่ เราต้องเกาะเข้าไว้ เพื่อความอยู่เป็นสุขหรือว่าจิตไม่ฟุ้งซ่าน แต่เรายังไม่เห็นว่าที่สุด คือ รูปฌานและอรูปฌานนี่ยังไม่เป็นที่สุดของความทุกข์ เราต้องเดินทางต่อไป จึงตัดอารมณ์ ไม่มัวเมาในรูปฌานและอรูปฌาน แต่จะรักษาไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่จิตใจเท่านั้น

ทรงโนไว้เป็นปกติ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา ขันธ์ ๕ เต็มไปด้วยคามทุกข์ ขันธ์ ๕ มีการสลายตัวไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์

ในเมื่อขันธ์ ๕ มันไม่ทรงตัวแบบนี้แล้ว มานะการถือตัวถือตน เราจะไปนั่งถือตัวว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา เพื่อประโยชน์อะไร เพราะร่างกายของคนมีธาตุ ๔ เหมือนกัน เต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนกัน มีความเสื่อมเหมือนกัน มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน

คนและสัตว์มีสภาวะเสมอกัน คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแก่ในท่ามกลาง และมีการสลายตัวไปในที่สุด นี่ย่อมไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จในการที่จะมานั่งเมาตัวหรือถือตัว วางอารมณ์แห่งการถือตัวถือตนเสีย

มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง เห็นคนและสัตว์ทั้งหมด ถือว่าทุกคนมีความทุกข์ ทุกคนจะต้องมีความตายไปในที่สุด แล้วเราจะมานั่งถือตัวถือตน เสมอกัน เลวกว่ากัน ดีกว่ากัน เพื่อประโยชน์อะไร เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีร่างกายเป็นเรา เป็นของเราจริง เรือนร่าง ร่างกายเป็นแต่เพียงบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ถ้าทำอารมณ์ได้อย่างนี้ เราก็จะตัดมานะ คือ การถือตัวถือตนเสียได้

ต่อไปก็เหลือ อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน พระอนาคามียังมีความฟุ้งซ่านอยู่ตามสมควร แต่ว่าอารมณ์ฟุ้งของพระอนาคามีนี้ไม่ฟุ้งลงไปหาอกุศล เพราะนับตั้งแต่เป็นพระโสดาบันเป็นต้นมา อารมณ์ที่เป็นอกุศลย่อมไม่แก่บุคคลผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า จะมีอย่างเดียวก็คือ อารมณ์จิตเป็นกุศลเท่านั้น

อย่างพระอนาคามีที่เรียกว่ายังมีอารมณ์จิตฟุ้งซ่าน ก็หมายความถึงว่า ยังพอใจในการบำเพ็ญทาน เห็นว่าทานเป็นของดี พอใจในการรักษาศีล พอใจในการสงเคราะห์ในด้านสังคหวัตถุ

ในบางครั้งบางคราว จิตใจก็แวะซ้ายแวะขวา ยังไม่ตัดหน้าตรงไปเลยทีเดียว ยังเห็นว่า อัตภาพร่างกายนี้บางครั้งมันยังเป็นประโยชน์อยู่ เรียกว่าบางครั้งยังเห็นว่าร่างกายเป็นของดีอยู่ ในการบางคราวยังเห็นว่าทรัพย์สิน คือ วัตถุที่เราปกครองที่เราหามาได้ มันเป็นของดีอยู่

แต่ถึงกระนั้นก็ดี จิตใจของท่านก็ไม่ลืมนึกว่าท่านจะต้องตาย จะต้องพลัดพรากของรักของชอบใจ ความหวั่นไหวไม่มีก็จริงแหล่ แต่ทว่าจิตก็ยังมีอารมณ์เกาะอยู่บ้างตามสมควร นี่เรียกว่า อารมณ์ฟุ้งซ่านของพระอนาคามี

การจะตัดอารมณ์ฟุ้งซ่านนี้ ก็ไปตัดที่สักกายทิฏฐิ พิจารณาร่างกายว่า ในเมื่อร่างกายของเรามันจะพังแล้ว อะไรในโลกนี้มันจะเป็นของเราอีก มันก็หาไม่ได้ ถ้าตายแล้วมันก็แบกเอาไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง เราก็ต้องแบกมันไปได้

นี่ดูตัวอย่างสรีระขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว ขณะทรงชีวิตอยู่ องค์สมเด็จพระประทีปแก้วมีทรัพย์สินมาก ชาวบ้านเขานำมาถวายราคานับไม่ได้

เมื่อเวลาที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงปรินิพพานแล้ว แม้แต่จีวรชิ้นหนึ่งก็นำไปไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายทับถมพื้นปฐพี ความนี้มีอุปมาฉันใด เราเองก็ฉันนั้น เราจะไปนั่งฟุ้งซ่าน ยึดโน่นยึดนี่ เพื่อประโยชน์อะไร ใจมันก็จะปลดออกเสียได้

เมื่อเจริญเข้ามาถึงตอนนี้แล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า เหลือ อวิชชาอีกหนึ่ง ตัวอวิชชานี่ ได้แก่ ฉันทะ กับ ราคะ

ฉันทะ เห็นว่ามนุษยโลกดี เทวโลกดี พรหมโลกดี
ราคะ เห็นว่ามนุษยโลกสวยสดงดงาม เทวโลกสวย พรหมโลกสวย

เราก็มานั่งตัด ฉันทะกับราคะ ทั้งสองประการเสีย พิจารณาหาความจริงว่า ในเมื่อร่างกายอของเรามันจะพังแล้ว ความสวยของความเป็นมนุษย์ เมืองมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี หรือพรมหก็ดี มันจะมีประโยชน์อะไร ในฐานะที่เราเองก็ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร

ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา เราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน จับจิตจับจุดเฉพาะอารมณ์พระนิพพานเพียงเท่านั้น

แล้วก็ถอยหลังเข้ามาดูอารมณ์ความจริงของเราว่า เวลานี้เรามีความโลภ คือ เมาในลาภสักการะหรือเปล่า ยังถือว่ามีอะไรเป็นเราเป็นของเรามีบ้างไหม ถ้ายังมีก็ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ยังไม่ใช่พระอรหันต์

ถ้าเห็นร่างกายนี้ อัตภาพร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว ทรัพย์สินที่มีอยู่นี่มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันทรงตัวอยู่ไม่ได้ ตายแล้วนำไปไม่ได้ บางทีเรายังไม่ทันจะตาย ยังไม่ตายเราก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คือ ของที่เราต้องการมันก็สลายตัวไปหมด มันไม่ปรากฏว่าจะยืนยงคงทนตลอดกาลตลอดสมัย

นี่เราจึงเห็นว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของไม่ดี การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เราไม่มีความต้องการ โลกทั้งสามนี้เป็นอนัตตาเหมือนกันหมด มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ในที่สุดเราก็มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์

มีความต้องการอย่างยิ่งโดยเฉพาะ คือ พระนิพพาน
อารมณ์แห่งความรักในเพศไม่มี
อารมณ์แห่งความโกรธไม่มี
การเกาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าเป็นเราเป็นของเราไม่มี

อย่างนี้ชื่อว่า จิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าถึงความเป็นพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา ชื่อว่าจบกันแค่นี้

นี่การเจริญพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธานุสสติกรรมฐาน เราก็ทำได้ทุกอย่าง คือ ทำได้ตั้งแต่ขั้นอุปจารสมาธิ คือ พิจารณาแบบต้น ถ้าพิจารณาแบบจับรูปเราก็ทรงได้ถึงฌาน ๔ แล้วก็ทิ้งรูปเสียพิจารณาอรูป ทรงฌาน ๔ ได้อีกก็เป็นสมาบัติ ๘

แล้วก็จับพระรูปโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนแปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการแก่เฒ่าไปในที่สุด แล้วก็สลายตัวไปในขั้นสุดท้าย ถือว่าไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร ไม่มีสภาพจีรังยั่งยืนเป็นประการใด มาเทียบกับกายของเรา แบบนี้เป็นวิปัสสนาญาณ

นี่แหละ บรรดาพุทธบริษัททุกท่าน กรรมฐานทุกกองเราทำได้ถึงขั้นอุปจารสมาธิ ทางด้านรูปฌานและอรูปฌาน และ วิปัสสนาญาณ ทำได้หมด

ตัวอย่างที่องค์สมเด็จพระบรมสุคต สอนโลหิตกสิณแก่พระลูกชายนายช่างทองอย่างเดียวสามารถให้ทำฌานได้ แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทำโลหิตกสิณนั่นแหละให้เป็นวิปัสสนาญาณ ในที่สุดเธอก็ได้บรรลุอรหัตผล

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน เวลาแห่งการจะพูดมันก็เลยมานานแล้ว ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนา และ พิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา สวัสดี

Copyright © 2001 by
Amine
20 ก.ย. 2544 16:02:57