การฝึกอภิญญา ตอนที่ ๓

1 2

วันนี้ขอแนะนำในการตั้งกำลังใจของท่าน คือว่า ในอันดับแรกขอให้ตั้งใจจับภาพพระ การจับภาพพระนี่ ก็หนักใจอยู่นิดหนึ่ง ที่เราจะบังคับให้มีสภาพแจ่มใสหรือไม่แจ่มส ก็เอาแค่ว่าเราสามารถบังคับให้แจ่มใสได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังกายกำลังใจ จะนั่งอยู่ จะยืนอยู่ จะเดินอยู่ จะนอนอยู่ จะทำอะไรอยู่ก็ตามเห็นภาพพระอยู่ภายในอก มีความแจ่มใสสว่าง ถ้าเห็นเห็นแก้วธรรมดา แก้วใสหรือว่าแก้วมัว หากว่าเป็นแก้วละก็จิตนั้นเริ่มเข้าถึงฌาน ๔ ถ้าเป็นแก้วใสสะอาดจัดว่าเป็นฌาน ๔ ละเอียด

นี่พูดกันถึงด้านอารมณ์จิตที่เป็นโลกียวิสัย ถ้าบังเอิญจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลายมีวิปัสสนาญาณพอสมควร สภาพความใสของแก้วทั้งภาพพระจะเป็นประกายออก ถ้าหากว่าเป็นอรหันต์จะเห็นเป็นดาวทั้งดวง เป็นประกายทั้งดวง มีความสวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ นี่ว่ากันถึงแบบฉบับที่จะพึงทำได้ ทีนี้สมมติว่าท่านทั้งหลายทำจิตได้ขนาดนี้ก็ดีหรือว่ายังทำจิตได้ไม่ถึงขนาดนี้ เป็นแต่เพียงจับภาพพระได้ทรงตัว แต่ต้องระมัดระวังหน่อยนะครับ ถ้าการกำหนดรู้อยู่ที่ภาพพระเป็นสำคัญ ถ้าภาพพระสดใสดีเราก็เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ดีตามภาพพระ ถ้าเราเห็นภาพพระมัวเราเห็นก็เห็นมัวเหมือนกัน

ประการต่อไป ความสำคัญก็มีอยู่ว่า การทรงอารมณ์ให้คงที่หมายความว่า การฝึกอารมณ์ให้ทรงตัว การตั้งเวลาของอารมณ์นี่มีความสำคัญมาก เมื่อจิตของท่านสามารถเห็นพระเป็นแก้ว ภาพพระนะอย่าลืม! ภาพพระเป็นแก้วใสมาก หรือ ใสน้อยหรือว่าอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ ชื่อว่าเราเห็นอะไรได้ทุกอย่าง

ทีนี้ ต่อไปนี้ก็เป็นการใช้กำลังใจ ตัวนี้เป็นการสำคัญขึ้นอยู่กับกำลังความกล้าของจิต ความกล้าของจิตที่เราจะใช้ วิธีใช้เราก็ใช้แต่อย่างนี้ อันดับแรกเราใช้ทิพจักขุญาณ ไอ้ความจริงทิพจักขุญาณถ้าได้แล้วเราต้องหมั่นใช้ให้คล่อง ถ้าหากว่านาน ๆ ใช้ก็มีสภาพเฝือ อันดับแรกลองใช้กำลังของเราดูก่อน เราต้องสังเกตไว้ให้ดีนะครับ ถ้าหากว่าใช้แบบไหนได้ผลดี ตั้งอารมณ์ไว้แบบไหนได้ผลดีละก็ใช้ตามนั้น แล้วก็จงอย่าใช้ประเภทที่เรียกว่า สุกเอาเผากิน อย่างนี้เสียหามามากมายแล้ว

สำหรับฌานโลกีย์นี่เสียง่าย ว่าก่อนที่ต้องการเห็นภาพอะไร ก็ตั้งใจจับภาพพระให้ใสที่สุดดีที่สุดเท่าที่เราจะพึงทำได้ อันนี้ก็พูดมาแล้วตั้งแต่ขั้นอุปจารสมาธิ แล้วก็กำหนดรู้สิ่งนั้นต่อไป

ความจริงการปฏิบัติแบบนี้ดี แต่ว่ายังมีอุปาทานอยู่มาก ยังมีการพลาดอยู่มาก ก็ขอแนะนำในเรื่องของที่จะไม่พลาดเลยทีเดียว เพราะฟังดูแล้วมันเสียเวลา ถ้าเราต้องการใช้อำนาจทิพจักขุญาณเพื่อให้เห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นพรหมโลก หรือเห็นว่าคนที่อยู่ในมนุษย์นี่อยู่ที่ไหน หรือว่าเห็นสิ่งทั้งหลายใด ๆ ที่เขาซ่อนไว้ เราก็เอาใจจับภาพพระ เห็นภาพพระแจ่มใสก็นึกถามว่าสิ่งที่เราต้องการน่ะอยู่ที่ไหน เป็นอะไร อันดับแรกจะเกิดจากความรู้สึกของจิต แต่ความรู้สึกของจิตตอนนี้จะเห็นเป็นภาพขึ้นมาเลย จะมีความรู้สึกเป็นภาพว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่า เทวดาองค์นั้นรูปร่างอย่างนั้น เทวดาองค์นี้รูปร่างอย่างนี้ หรือพรหมองค์นั้นรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้

ถ้าหากว่าเราสามารถทรงกำลังจิตได้นาน เราก็จะพูดกับเทวดาหรือพรหมหรือท่านที่เห็นได้ตามอัธยาศัย อันนี้ต้องหมั่นฝึก ต่อไปถ้าเราใช้จุตูปปาตญาณ แต่ความจริงถ้าฝึกจิตจนคล่องเดินไปเดินมาก็ใช้ตลอดเวลา วิธีใช้หมายความว่าจับภาพเห็นพระอยู่ตลอดเวลา คำว่าตลอดเวลาสำหรับท่านที่ยังไม่เคยทำได้จะรู้สึกว่ามีความลำบาก คิดว่าไม่ไหวแล้วทำไม่ได้แล้วท่านี้ แต่ความจริงทำได้ครับ ถ้าอารมณ์คล่องจริง ๆ มันไม่มีอะไรหนัก เหมือนกับเราเรียนหนังสือ เดิมทีเดียวตัว ก. ตัวเดียวก็เขียนไม่ไหว แต่ถ้าคล่องจริง ๆ จะเขียนอะไรก็ได้ แต่ก่อนต้องฝึกแบบนี้ กำลังนั่งอยู่ทำงานอยู่พูดคุยอยู่ใช้กำลังจิตได้ทันที คือ ใช้กำลังจิตให้เห็นภาพพระได้และรู้ทันทีในเรื่องนั้น ๆ

ต่อไปก็เป็นเรื่อง จุตูปปาตญาณ ที่สมาทานกัน จุตูปปาตญาณ นี่คือ รู้ภาวะของคนที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหนหรือว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดนี่เดิมทีมาจากไหน อันนี้เป็นของไม่ยาก ถ้าคล่องในทิพจักขุญาณแล้วก็ไม่มีอะไรยากเหมือนกัน จะเห็นว่านาย ก. นาย ข. นาย ค. นี่ที่เขาตายไปแล้ว อย่าไปดูประวัติเขาตามที่พูดมาแล้วในวันก่อน ว่าอย่าสนใจในประวัติ เราก็พยายามต้องการรู้อย่างเดียว โอ้หนอ..คนนี้เขาตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ก็เราอยากจะทราบ เมื่อทราบแล้วสมมติว่าเราจะลองจิตของเราเองดูก็ได้ จับภาพพระให้แจ่มใสดีแล้วก็กำหนดรู้ว่าคนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน หรือคนที่มานั่งคุยกับเรานี่เดิมทีเกิดมาจากไหน ก่อนจะเกิด จิตจะมีอารมณ์บอกแล้วภาพจจะปรากฏกับจิต

แต่ทว่าวิธีนี้อย่าใช้เลยครับ ถ้าขืนใช้ล่ะก็ไม่ช้าอุปาทานกิน เราใช้จิตจับภาพพระให้เห็นแจ่มใสแล้วกำหนดจิตถามภาพพระ เขาเรียกว่าภาพนิมิตสินะ ถามภาพพระ ๆ ก็จะบอก ความรู้สึกเกิดขึ้นมาในจิต จะบอกว่าคนนี้เดิมทีมาจากนั่นมาจากนี่ แต่ตอนนี้ถ้าสภาวะจิตอารมณ์จิตบอกว่ามาจากไหน จิตจะเห็นเป็นภาพว่าเขาเกิดในชาตินั้น ในขณะที่ก่อนที่เขาจะมาเกิดเขามีสภาวะเป็นยังไง เราสามารถจะสอบสวนประวัติได้ หรือว่าตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน อาศัยอะไรเป็นบาปเป็นกรรม สภาวะของเขาเป็นยังไง ถ้าเราเห็นภาพพระสดใสเราก็เห็นเหมือนกับเราดูหนังนั่นเอง ถ้าดูภาพยนตร์ก็ภาพยนตร์พากย์ รู้ภาวะการณ์ต่าง ๆ ได้หมด อันนี้เป็นจุตูปปาตญาณ ก็คือ มาจากทิพจักขุญาณ

ต่อไปก็เป็น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติถอยหลัง พอจับภาพพระสดใสดีแล้ว ก็ลองกำหนดจิตคิดว่า ชาติก่อนที่เราจะมาเกิดนี้เราเป็นอะไร ถ้าภาพนั้นปรากฏ เราก็พิจารณาดูว่า ภาพที่ปรากฏนั่นน่ะมีอะไร ใครเป็นพ่อใครเป็นแม่ รูปร่างหน้าตาของเราจะเป็นยังไง ใครเป็นสามีภรรยามีบุตรธิดาเท่าไหร่ ลองใช้กำลังของจิต แต่ทว่าผมว่าทิ้งเสียดีกว่า นี่ผมว่าตามแบบนะ

ถ้าตามวิธีปฏิบัติ ถ้าหากว่า ๆ ตามแบบนี่เหนื่อยเกือบตาย ถอยหลังไปทีละชาติ ๆ มันก็ไปได้แต่ไปได้แบบช้า ๆ ถ้าหากว่าใช้วิธีลัดใช้อารมณ์จนคล่อง และก็ต้องการอยากจะรู้ว่าที่เราเกิดมานี้เกิดมาแล้วกี่ชาติ เป็นคนหรือว่าเกิดเป็นสัตว์กี่ชาติ เกิดในสัตว์นรก เป็นเทวดา เป็นพรหมกี่ชาติ ถามพระเลย อย่างนี้ง่ายกว่า

แต่วิธีที่ผมเล่นมาผมเล่นแบบนี้ แต่เมื่อก่อนนี้ก็ถอยหลังไปทีละชาติ ๆ เหมือนกัน มันเหนื่อยเกือบตาย ดูเหมือนว่าผมลองเล่นถอยหลังอยู่ประมาณ ๗ ชาติ ไอ้ ๗ ชาติน่ะเป็นไปด้วยความฝืด ต่อมาก็เอาใหม่ ไม่เอาล่ะ! เดินไปถ้าเห็นคนเขายากจนเข็ญใจ นึกจิตจับภาพพระนึกถามเลยว่า เคยเกิดเป็นคนจนลำบากแบบนี้มาแล้วกี่ชาต ก็จะปรากฏว่ามีความรู้สึกขึ้นมาในใจ เหมือนกับพระท่านตอบมาเท่านั้นชาติ แต่ละชาติเป็นยังไง ความรู้สึกมันจะเห็นภาพแต่ละชาติที่เรามีความลำบาก หรือมีความสบายอยู่ในฐานะเช่นนั้น ต้องการรู้ใครที่เป็นภรรยา สามี บิดา มารดา ภาพนั้นก็ปรากฏ นี่สบายดีผมก็เล่นอย่างนี้ ต่อไปถ้าผมเห็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสุนัขก็ดี เป็นวัวก็ดี เป็นควายก็ดี ช้าง ม้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด

ผมชอบซน ๆ ก็นึกดู เอ๊ะ! นี่เราเคยเป็นสัตว์เช่นนี้บ้างหรือเปล่า ก่อนจะรู้พอนึกพั๊บจิตมันก็จับพระทันทีเพราะมันคล่อง ต้องเล่นให้คล่อง ไอ้ภาพที่เราเคยเกิดเป็นสัตว์ประเภทนี้มันจะโผล่ขึ้นหน้าสลอน นี่หมายความว่าไอ้หน้าสลอนน่ะมันแต่ละหน้าน่ะหนึ่งชาติ ถ้าสิบชาติมันก็สิบหน้า ร้อยชาติมันก็ร้อยหน้า ถ้าท่านทั้งหลายจะถามว่านับไหวหรือ ก็ต้องบอกว่าเวลานั้นสภาพของจิตเป็นทิพย์ ไม่ต้องไปนั่งนับหรอก พึ๊บมารู้ รู้ประมาณจำนวนทันที ถ้าต้องการรู้เราเป้นเทวดาหรือพรหมมีสภาวะเช่นไรก็ทำอย่างงั้นแหละ อย่างนี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายดีและก็แม่นยำ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ

สำหรับเจโตปริยญาณ ผมอยากให้ท่านคล่องตรงนี้ เจโตปริยญาณ นี่ท่านบอกว่าสามารถรู้วาระน้ำจิตของคนอื่นหรือว่าวาระน้ำจิตของเรา เนื้อแท้จริง ๆ เราต้องการรู้วาระจิตของเราเป็นสำคัญ คือ อารมณ์จิต ดูใจของเราว่าสภาพใจของเราผ่องใสหรือไม่ผ่องใส สีของจิตมี ๖ อย่าง แต่เอาอย่างโดยย่อมี ๓ อย่างพอ นี่เป็นแนวปฏิบัติ เรื่องจิตของเรานี้จะต้องฝึกดูทุกวัน ถ้าฝึกดูจิตของเราทุกวัน ตื่นขึ้นมาเช้ามืดทำใจให้สบายแล้วก็ดูใจของตน และเมื่อเวลาดูใจน่ะต้องพยายาม

ถ้าใจมีสีแดงแสดงว่าเรามีความดีใจในด้านวัตถุหรือว่าอารมณ์ที่เป็นโลกียวิสัย ถ้าใจมีสีมัวหรือสีดำหมายถึงว่าความวุ่นวายของจิต ถ้าใจเป็นสีแก้วหมายความว่าจิตโปร่งจากกิเลส การดูจิตนี่มีความสำคัญมาก ดูของเราอย่าไปดูของเขา เรื่องดูของเขามันดูง่านย ดูของเรามันดูยาก พยายามซักซ้อมการดูจิตให้คล่อง แล้วพยายามไล่สีให้หมด ถ้าจิตมันมีสีแดงก็นึกว่าเรามีความดีใจเพราะเหตุอะไรเป็นสำคัญ พอรู้เหตก็ขับไล่เหตุนั้นไป ถือว่าไม่เป็นสาระไม่เป็นแก่นสาร

ถ้าจิตมันมีสีมัวมานึกถึงว่าอารมณ์เรามัวเพราะอะไร พอรู้แล้วก็ขับมันไป ถือว่าทุกอย่างในโลกมันเป็นของธรรมดา ทำไมจะต้งอมาดีใจ ทำไมจะต้องมาเสียใจกับเรื่องของโลกียวิสัย สิ่งใดที่มันกระทบกระทั่งใจมันก็ผ่านไปแล้ว นั่นมันเป็นอดีต และก็สิ่งที่ยังไม่ถึงมันเป็นอนาคต ปัจจุบันนี่เราต้องมีอารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ อารมณ์จะต้องทรงตัว จิตจะต้องเป็นแก้วอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตของเราเป็นแก้วธรรมดา แสดงว่าจิตของเราอยู่ในขั้นของ " ฌานโลกีย์ "

อันนี้มันเร็วนี่ครับ วิธีนี้การปฏิบัติเร็วมาก การเข้าเป็นพระอริยเจ้าก็เร็ว แต่ว่ายังสู้มโนมยิทธิเขาไม่ได้นะ ไกลกันมากความว่องไวไกลมากต้องใช้เหนื่อยมาก ทีหลังเราก็ต้องการที่จะทำจิตของเราให้เข้าถึง " โลกุตตรฌาน " คือ เป็นพระอริยเจ้า การศึกษาตอนนี้ก็ศึกษากับพระนั่นเองแหละ ไม่ต้องนั่งอ่านตำราให้มันลำบาก วันทั้งวันจิตใจจับพระไว้เป็นปกติ แล้วศึกษกับท่านว่าทำยังไงเราจึงจะเป็นพระโสดาบัน ภาพพระนิมิตเขาบอกเอง แล้วจะทำยังไงจะเป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

อันดับแรก ถ้ากำลังจิตของเรายังอ่อน จับอารมณ์พระโสดาบันก่อน ถามท่าน หรือว่า เรารู้แบบฉบับแล้วก็ศึกษากับท่านโดยจุดที่ว่ายังอ่อน ว่าเวลานี้จิตของเราอ่อนจุดไหน ท่านจะแก้ไขจุดไหน พระจะบอกเองว่าจะแก้จุดนั้นจุดนี้ แล้วเราก็แก้ ๆ ด้วยความตั้งใจจริง ถ้าควบคุมจิตอยู่อย่างนี้ ๒ - ๓ วันเท่านั้นแหละ อารมณ์จิตจะเป็นประกายแพรวพราวออกมา ถ้าเป็นพระโสดาบันก็จะเป็นประกายโดยรอบประมาณสัก ๑ ใน ๔ ถ้าจิตเราเริ่มเป็นวิปัสสนาญาณเข้าใจ ใจเริ่มเป็นวิปัสสนาญาณ จิตโดยรอบจะเป็นประกายเล็กน้อย คือ วงรอบ ๆ ของจิต

ต่อไปเราก็ศึกษาข้ามขั้นไปเลย อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องการพระอนาคามี พระอนาคามีนี่เราก็รู้แล้วว่าต้องตัดกามฉันทะกับปฏิฆะ เราก็ถามว่าการตัดกามฉันทะกับปฏิฆะอย่างไหนที่เราจะต้องตัดก่อน เพราะเรารู้ไม่ได้ว่าจิตของเราอ่อนตรงไหน ท่านก็จะบอกจุด ดีไม่ดีท่านก็บอกจุดตัดปฏิฆะเลย คือ ความโกรธความพยาบาท

และถ้าใจเรายังคล่องทั้ง ๒ อย่าง ท่านก็จะแนะจุดการตัดทั้ง ๒ อย่าง แล้วก็ปฏิบัติตามท่าน โดยการควบคุมอารมณ์จิตของเราไว้เป็นปกติ จิตมันจะใสขึ้นมาเป็นประกายแพรวพราว จนกระทั่งรู้สึกว่ามีแกนสีแดงหรือว่ามีแกนสีขาวนิดหน่อย

ตอนนี้อารมณ์ในกามฉันทะความต้องการในเพศ หรือ ปฏิฆะความกระทบกระทั่งในจิตจะไม่มี ถ้าตอนถึงอนาคามีนี่ต้องลองนะ ลองดู .. สิ่งไหนที่เราเห็นว่าสวย เราเคยเห็นว่าสวยเราไปทดสอบอาการอย่างนั้นให้ไปพบจุดนั้น ๆ เมื่อเห็นเข้าแล้วเห็นมันเกิดความสะอิดสะเอียนในร่างกายของคนและวัตถุนั้น ๆ ว่าเนื้อแท้จริง ๆ มันไม่มีอะไรสวย มันเป็นของน่าเกลียดโสโครกจนอารมณ์ชิน แล้วก็ดูใจของเราทุกวัน วันทั้งวันน่ะดูมันเรื่อยไป ใจมันจะไม่เปลี่ยนแปลง มันจะไม่เศร้าหมองลงไป ใจจะโสสะอาดเป็นประกายเล็กน้อย อย่างนี้ชื่อว่าทรงความเป็น " อนาคามี "

ทีนี้ถ้าเราจะปฏิบัติในขั้นอรหัตผล อรหัตผลนี่มีสังโยชน์อยู่ ๕ คือ :-

๑. รูปราคะ ติดในรูปฌาน

๒. อรูปราคะติดในอรูปฌาน

๓. มานะ ติดในความถือตัวถือตน

๔. อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้ง

๕. อวิชชา ติด" ฉันทะ " กับ " ราคะ " คือ พอใจโลกนี้ เทวโลก และ พรหมโลก

แล้วก็ถามพระว่าจะตัดจุดไหนมันถึงจะเร็ว ท่านก็จะบอก บอกแล้วก็ตัดจุดนั้น ถ้าเราตั้งใจจริงนี่สภาพแบบนี้สามารถตัดอารมณ์ที่ท่านบอกได้ภายใน ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน นี่นะครับ การฝึกทิพจักขุญาณมีประโยชน์อย่างนี้

นี่รู้จิตของเราไม่ต้องการไปรู้จิตของคนอื่น เรื่องจิตของคนอื่นอย่าไปยุ่ง เขาจะดีจะเลวมันเป็นเรื่องของเขา เรื่องตัวของเราสำคัญ เมื่อเราสามารถชำระจิตของเราได้จับจิตของเราได้แล้ว เรื่องจิตของคนอื่นมันง่ายกว่าจิตของเรา เพียงเขาบอกชื่อคนนั้นคนนี้มา ถ้าเราต้องการรู้คนนี้อยู่ระดับไหนจะเห็นจิตทันที ขุ่นหรือใส เป็นประกายหรือเปล่า จะรู้สภาวะการณ์ปรากฏของเขาว่า เวลานี้เขาทรงธรรมอยู่ในขั้นไหน หรือว่ากำลังใจของเขาเป็นสัตว์นรกนี่เรารู้ได้

ต่อไปก็เป็นเรื่องของ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปปันนังสญาณ นี่เป็นเรื่องเล็ก ๆ ครับ รู้เรื่องราวในอดีตของคนว่าคนและสัตว์นี่เมื่อก่อนเขาเป็นอะไร ในสมัยเด็กเขารวยเขาจน เขาดีหรือเขาเลว อันนี้เรื่องเล็ก ๆ ผมไม่อธิบาย อนาคตังสญาณ รู้ต่อไปข้างหน้าว่าเขาจะมีภาวะเป็นยังไง ปัจจุปปันนังสญาณ เวลานี้เขาดีหรือเขาเลว อันนี้ไม่ยาก ถ้ารู้ใจของเราแล้วก็รู้ใจของเขา แล้วก็รู้สภาวะที่ผ่านมา แต่ว่าเรื่องหยาบ ๆ อย่าต้องการรู้นะครับ มันไม่ใช่วิสัย รู้แล้วความดีจะเสีย

ต่อไปก็เป็น ยถากัมมุตาญาณ ความจริงเรื่องนี้มันรู้พร้อมกันทีเดียว แต่ผมอธิบายเป็นขั้น ๆ ตามแบบ ยถากัมมุตาญาณ เห็นคนที่เขามีความลำบากโดยละเอียด อันนี้เราก็จะรู้ได้ว่าความลำบากความทุกข์ความยากที่เขามีอยู่ในปัจจุบันเพราะโทษทัณฑ์แห่งความชั่วอะไรเป็นสำคัญที่เขาสร้างไว้ในชาติก่อน หรือเมื่อชาติปัจจุบันที่เขามีความสุขมีแต่ความร่ำรวย มีแต่ความรื่นเริงเพราะอาศัยอะไรเป็นสำคัญ นี่ดูของเขานะ แต่ของเขาน่ะอย่าดูให้มันมากนัก ดูของเราดีกว่า ดูของเราว่าอยู่ดี ๆ นี่ชาวบ้านเขามาด่าอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัย ถ้าคิดว่าเราชาติก่อนน่ะเราไม่เคยทำกับเขา ชาตินี้เราก็ไม่เคยทำกับเขาให้เขาได้รับความสะเทือนใจ แต่ว่าเขามาด่าเรามันอาจจะเป็นกรรมของเขาก็ได้ เมื่อเขาอยู่ดี ๆ กรรมที่เป็นอกุศล เขามาด่าเราเขาลงนรกเล่นโก้ ๆ คนทุกข์ที่มีอกุศลกรรมที่เข้ามาบังใจนี่

ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า " ปทปรมะ " เช่นเดียวกับ พระเทวทัต อันนี้มองความดีไม่เห็น เห็นแต่ความชั่วอย่างเดียว มีสภาพที่แก้ไขไม่ได้ ในเมื่อเราคอยจับอารมณ์ของเรา มันสุขมันทุกข์เพราะอะไร แต่ความสุขความทุกข์จะเกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไอ้ตัวธรรมดาเข้ามาได้นี่ อรหันต์ก็เข้ามาถึง แล้วคำด่าก็เฉย ๆ ถือว่าเราดีนี่เขาด่าทำไม เราไม่มีโทษมีทัณฑ์ เอ้า! เราถูกด่าเป็นความชั่วของเขา ช่างเขา! ต่อมามีใครเขาชม ไอ้คำชมนี่คำชมมันก็เฉยในเมื่อมันไม่มีสาระแก่นสาร จับใจของเราให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา นี่ความจริงไม่น่าจะจบวันนี้ แต่ก็ขอจบ แล้วก็ใช้การพิจารณาแบบนี้เป็นสำคัญ

รวมความว่าเราเรียนทิพจักขุญาณเพื่อรู้วาระน้ำจิตของตน ไอ้เรื่องวาระน้ำจิตของบุคคลอื่นนี่มีความไม่สำคัญ ข้อนี้มีความสำคัญอยู่ว่า วันทั้งวันต้องดูกระแสใจของเราตลอดวัน หากท่านจะถามว่าดูได้ยังไง ผมก็ต้องตอบว่าไม่ยาก ถ้าอยากจะรู้เมื่อไหร่เห็นใจเมื่อนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจับภาพพระเสียก่อน ถ้าถึงเวลาคล่องจริง ๆ นะครับ ใจจับภาพพระและจับภาพกระแสจิต แว้บ!เดียวมันได้ทันที นี่แหละการฝึกวิชชาสามมันก็อยู่กันแค่นี้ ผมกล่าวโดยย่อนะเพื่อเป็นบรรทัดฐาน หากว่าบรรดาพวกท่านปฏิบัติได้ก็จะรู้สึกว่าที่กล่าวมานี้ไม่มีอะไรยากเลย และก็เป็นการทำให้เราเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเข้าโดยง่าย ซึ่งคล่องกว่าสุกขวิปัสสโกมาก

สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ สวัสดี

กลับหน้าที่ ๑Copyright © 2001 by
Amine
08 พ.ค. 2545 12:21:53