การฝึกอภิญญา ตอนที่ ๓

1 2

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสมาทาน ขอให้ท่านตั้งใจสมาทานด้วยความจริงใจหรือว่าด้วยศรัทธาแท้ อย่าถือว่าเป็นประเพณี ถ้าขณะใดที่จิตของท่านทั้งหลายถือคำสมาทานเป็นประเพณี คำว่า สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีในท่าน หรือคำว่าสมณะย่อมไม่มีในท่าน

ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าสักแต่ว่าพูด สักแต่ว่ากล่าว กล่าวตามประเพณี ถ้าเราถือกันจริง ๆ ถ้าเราถือกันจริง ๆ คำหนึ่งมีว่า " อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจัจชามิ " ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอมอบกาย ถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้อยคำนี้จะเป็นจริงตามคำที่ท่านกล่าวหรือไม่ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายดู " อิทธิบาท ๔ " และ " บารมี ๑๐ " ทั้งสองประการนี้ประจำจิตของท่านอย่างมั่นคงหรือเปล่า

ถ้าว่าทั้งสองประการนี้ไม่มีอยู่ในใจของท่านหรือว่ามีแต่สักแต่ว่ามี มีอารมณ์บกพร่องอยู่บ้างหรืออยู่มาก ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

ทีนี้ขอให้ท่านทั้งหลายวัดใจของท่านแบบนี้ มรรคผลต่าง ๆ จะมีขึ้นมาได้ต้องอาศัย " อิทธิบาท ๔ " และ " บารมี ๑๐ " แต่ขาดเหตุทั้งสองประการทั้งหลายเหล่านี้แล้วท่านทั้งหลายจะไม่มีผลอะไรเลย

ฉะนั้น ขอทุกท่านจงตั้งใจรักษากำลังใจของท่านให้มั่นคงอยู่ใน " อิทธิบาท ๔ " และ " บารมี ๑๐ "

ถ้าหากว่าจิตของท่านมั่นคงจริง ๆ จะเป็นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ทั้ง ๔ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เกินวิสัยของท่าน แล้วก็จงอย่าถือเอาตนเองไปวัดกับใครว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา คิดว่าเราดีกว่าเขาก็เป็นการทะนงตัวเกินไป คิดว่าเราเสมอเขาก็รู้สึกว่าจะมีจิตหยาบเกินไป คิดว่าเราเลวกว่าเขาก็รู้สึกว่าจะทำลายความดีของตนมากเกินไป เป็นแต่เพียงคิดว่าถ้าเราสามารถทรงความดี ๒ ประการนี้ไว้ได้ เราก็เป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถที่จะทำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามาทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่ท่านทั้งหลายยังมีการลดหลั่นระหว่างการทรงกำลังใจเพราะด้วยเหตุนี้เป็นสำคัญ

วันนี้ก็จะขอพูดต่อเรื่อง " ทิพจักขุญาณ " ก็โปรดจำไว้ให้ดีนะว่าจะเป็นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ๔ อย่างนี้ใช้กำลังใจเสมอกัน ถ้าอารมณ์ใจของท่านอ่อนแอพลาดใน " อิทธิบาท ๔ " พลาดใน " บารมี ๑๐ " ผมขอพยากรณ์ไว้เลยว่าไม่มีทางได้อะไรเลย แม้แต่ฌานโลกีย์ก็จะไม่มีในจิตของท่าน เป็นอันว่า เมื่อคืนนี้มาพูดค้างไว้ในด้านทิพจักขุญาณ ว่ากำลังใจของเราเข้าถึงอุปจารสมาธิ สำหรับทิพจักขุญาณนี้อย่าลืมนะครับว่ามีแบบปฏิบัติอยู่มาก

สำหรับ" อาทิกัมมิกบุคคล " หมายความว่า คนไม่เคยได้มาในชาติก่อน เพิ่งเริ่มต้นในการกระทำ ตามแบบวิสุทธิมรรคท่านให้ใช้เตโชกสิณ อาโลกกสิณ หรือ โอทาตกสิณเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติให้เกิดทิพจักขุญาณ นี่ว่ากันตามแบบ ถ้าหากว่าตามแบบปฏิบัติก็ถือว่าเราจะใช้อะไรก็ได้มาเป็นกสิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะเอาพระพุทธรูปมาเป็นกสิณเราก็ใช้ได้ ถ้าหากว่าเป็นคนที่เคยได้มาแล้วในชาติก่อน เพียงเป็นแต่สร้างอารมณ์จิตให้ถึงอุปจารสมาธิ ทิพจักขุญาณก็เกิด...

ทีนี้สำหรับแนวการปฏิบัติที่ผมแนะนำท่านว่าใช้คำภาวนาว่า

พุทธัง เมฆะนิมิต จิตตัง มะอะอุ

ธัมมัง เมฆะนิมิต จิตตัง อุอะมะ

สังฆัง เมฆะนิมิต จิตตัง อะมะอุ

ถ้าฟังอย่างนี้แล้วบางทีไปคุยกับใครเขา เขาก็จะคิดว่าผมสอนนอกลู่นอกทาง แต่ความจริง อันนี้เขาปฏิบัติกันได้ดีมามากและก็ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว ก็เป็นอันว่า ถึงอนุสสติทั้ง ๓ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ แล้วเวลาที่ปฏิบัติต้องใช้อารมณ์เข้มแข็ง การใช้อารมณ์อ่อนแอนี่ไม่ได้ ต้องให้จิตจับภาพพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งไว้เป็นสำคัญ อย่างนี้เราผ่อนกันไม่ได้เลย กำลังใจจุดนี้จะต้องใช้เหมือนกันทั้งพวกฝึกวิชชาสาม อภิญญาหก และ ปฏิสัมภิทาญาณ ใช้กำลังเท่านกัน แม้แต่สายสุกขวิปัสสโกก็เช่นเดียวกัน ใจเสมอกัน แต่ว่าแยกวิธีปฏิบัติเพื่อความรู้พิเศษเท่านั้น

สมมติว่าท่านทั้งหลายสามารถทำใจเข้าถึงอุปจารสมาธิ คือ นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ ทำอะไรก้๖ม จิตสามารถนึกถึงภาพพระที่ท่านกำหนดไว้ แต่ว่าภาพพระที่ท่านกำหนดไว้โปรดจำไว้ด้วยว่า บางทีเรากำหนดเป็นภาพพระนั่ง ดีไม่ดีนึกเห็นเป็นพระนอนไปเสียแล้ว ไม่ใช่วาดเอาเองนะ ต้องจิตนึกขึ้นมาแล้วเห็นภาพนั้นชัด ถ้าทางที่ดีก็น้อมเอาภาพพระนั้นมาไว้ในอกมันจะดีมาก บางทีเรานึกถึงภาพพระพุทธรูปไว้ พระพุทธรูปกลายเป็นพระสงฆ์ไปเสียแล้ว พระพุทธรูปนั่งกลายเป็นพระสงฆ์ยืน หรือพระสงฆ์นั่ง พระสงฆ์นอน อย่างนี้จงถือว่าใช้ไม่ได้ บางทีเรานึกถึงภาพพระสีเหลืองแต่กลายเป็นสีขาวไปเสียบ้าง เป็นสีคล้ำไปเสียบ้าง อะไรก็ตามใจท่าน ขอให้จิตมันจับไว้ได้ก็แล้วกัน


อันดับแรกนี่เราต้องการเรียกว่า วิปัสสนึก คือ นึกขึ้นมาเมื่อไหร่นึกเห็นภาพได้ทันที อย่างนี้เขาเรียกว่าสร้างภาพขึ้นในอก ที่อย่างวัดปากน้ำภาษีเจริญที่บอกว่าให้สร้างดวงขึ้นในอกก็แบบเดียวกัน แต่ทีนี้ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถจับเอาภาพพระเข้าไว้ในอกได้ นี่ต้องมีความเข้มแข็งนะ เพราะไอ้ตอนนี้เป็นเรื่องของอภิญญาแล้ว ผมจะไม่พูดแบบที่เรียนปฏิบัติกันมาตามก่อน ๆ ตามสายก่อน ๆ เอากันตรงไปตรงมาต้องให้ได้จริง ๆ เมื่อจิตของท่านสามารถจับภาพพระนี้ได้จริง ๆ จะนึกขึ้นมาเวลาไหนเห็นได้จริง ๆ ไม่ใช่ลอยมานะ อย่าลืม ภาพลอยนี่เขาไม่ใช้ นี่เราใช้กำลังใจของเราให้เป็นทิพย์


ทิพจักขุญาณ แปลว่า ผู้มีความรู้คล้ายตาทิพย์ ไม่ใช่เอาลูกตาไปเป็นทิพย์ มองภาพลอยไปลอยมาอันนี้ใช้ไม่ได้เลย อันนี้เมื่อเราจับภาพนี้ได้ ตอนนี้อารมณ์ทิพจักขุญาณก็เกิด อารมณ์จิตเริ่มเป็นทิพย์แต่ก็เกิดแบบมัว ๆ เพราะอะไร เพราะภาพพระที่เราเห็นน่ะมันชัดหรือไม่ชัด เพราะภาพพระที่เราจับน่ะมันเป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราว่าจิตเราเป็นทิพย์แจ่มใสหรือไม่แจ่มใส

นี่แล้วเราอย่าเอาเข้าไปเทียบกับพวก " มโนมยิทธิ " เขานะ ทิพจักขุญาณนี่ใช้ได้ผลแต่จะให้คล่องแคล่วแจ่มใสเหมือน " มโนมยิทธิ " นี่ไม่ได้ กำลังยังอ่อนกว่ากันเป็น ๑๐๐ เท่า แต่ทว่ามีผล ผลที่จะพึงได้ คือ พิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทุกจุด ถ้าอารมณ์ของท่านเข้าถึงจุดนี้

อันดับแรกที่อารมณ์ของทิพจักขุญาณมันจะเกิด มันเกิดแบบนี้ก่อน คือว่า เราใช้อารมณ์จริง ๆ ยังไม่ได้ เพราะว่ากำลังจิตยังอ่อนอยู่ เมื่อเรานอนภาวนาไป สมมติว่ามีเรื่องอะไรที่มีการขัดข้องแล้วเราต้องการจะรู้ บันทึกไว้เขียนไว้ หรือนึกไว้ตอนกลางวันก็ได้ แต่อย่าให้เรื่องนั้นมันยุ่งยากนัก เอาเฉพาะจุด เวลาจะนอนเราก็ภาวนาเรื่อยไปจนหลับ ถ้าจับพระได้เป็นปกติ เวลาใกล้จะหลับเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่นหรือว่าเวลาตื่น ๆ ไม่เต็มที่ ตอนนี้จะเกิดนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น

คำว่า นิมิต นี่ผมไม่ได้หมายไม่เจาะจง อาจจะเห็นรูปวัว รูปควาย รูปม้า รูปช้าง สีขาว สีเขียว สีแดง คน อะไรก็ช่างเถอะ! ถ้าเกิดนิมิตอย่างนั้นเกิดขึ้น

แต่ว่าขอเตือนอีกนิดหนึ่งว่า ถ้าเราคิดว่าเราอยากจะรู้เรื่องอะไรก็ตั้งใจไว้เสียก่อนว่า เราต้องการรู้เรื่องนี้ เวลาที่ภาวนาต้องทิ้งอารมณ์นั้นทันที เอาจิตจับเฉพาะคำภาวนาหรือจับภาพพระ พร้อมกันนั้นก็จับลมหายใจเข้าออกไปด้วย ต้องทำให้ได้นะ อันนี้อย่าสักแต่ว่าไม่ได้ สักแต่ว่าทำได้บ้างไม่ได้บ้าง จับได้บ้างไม่ได้บ้าง อย่างโน้นพลาด อย่างนี้อยู่ไม่ได้แน่ นี่เป็นเรื่องจริงใจ

ในเมื่อภาพนิมิตเกิดขึ้นอารมณ์มันจะบอกทันที ว่านิมิตนี้บอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็บันทึกจดเอาไว้ มันจะตรงตามความเป็นจริง นี่หมายความว่าทิพจักขุญาณอย่างอ่อน แล้วถ้าเราไม่ทิ้งอารมณ์นั้น เราทรงอารมณ์ไว้เสมอ อารมณ์จิตเริ่มแจ่มใสขึ้น การจับพระทรงตัวคล่องขึ้น เห็นชัดขึ้น นึกเห็นน่ะไม่ใช่ว่าลอยมาเห็น พวกลอยมาเห็นนี่ใช้ไม่ได้นะ ผมไม่ให้คะแนนเลยเพราะว่าผมปฏิบัติมาแล้ว ผมรู้ว่าอะไรมันดีอะไรไม่ดี

คนที่จับภาพลอยนี่เป็นอารมณ์อุปาทาน ภาพลอยนั่นมันเป็นแต่เพียงจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ ไม่ได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ แต่ว่าถ้าไปจับคิดว่าเป็นทิพจักขุญาณก็เหลว ไม่ใช่น่ะ คนละเรื่อง นี่น่ะเฝือกันเสียมาก ไอ้เรื่องนี้

นี่หากว่าจิตมันจับอารมณ์มันดีขึ้น ทิพจักขุญาณสูงขึ้น ถ้าเราอยากจะรู้อะไรขึ้นมาเราก็นึกจับภาพพระนั้นก่อน อย่าลืมนะ อันนี้ทิ้งไม่ได้นะ! กำหนดจิตจับคำภาวนาจากภาพพระนั้นก่อน เมื่อเห็นภาพพระจะเป็นภาพพระอะไรก็ช่าง ให้เป็นภาพพระก็แล้วกัน แล้วก็สังเกตดูว่าเราเห็นแจ่มใสหรือไม่แจ่มใส การเห็นภาพพระชัดเจนแค่ใดเราก็เห็นภาพสิ่งที่เราต้องการชัดเจนเท่านั้น

สมมติว่าเราอยากจะรู้ว่านาย ก. คนนี้ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน จงลืมความประพฤติเขาเสีย ความประพฤติในปัจจุบันหรือก่อนที่เขาจะตาย เขาทำอะไรทำดีทำชั่วอะไรอยู่ที่ไหน ทิ้งอารมณ์เสียให้หมด ถ้าไปเกาะอารมณ์นั้น นั่นแหละอุปาทานมันกิน

สมมติว่าเคยเห็นเขาลักเขาขโมยเขาปล้นเขายื้อแย่งฆ่าปลาฆ่าสัตว์ อารมณ์อย่างนี้นจะบอกตัวเอง อุปาทานบอกว่า นายคนี้จะต้องตกนรก นี่เป็นอุปาทานแน่ คิดว่านานย ก. ก็คือ นาย ก. และนาย ก. จะมีความประพฤติชั่วอะไรไม่สนใจ จับคำภาวนาให้จิตเป็นอุปจารสมาธิหรือเป็นฌาน ให้เป็นเอกัคคตารมณ์อารมณ์ทรงอยู่เสมอ อยู่อย่างเดียวคืออารมณ์ทรงไว้อย่างเดียว คำว่าอย่างเดียวในที่นี้หมายความว่าจับพระได้ จับภาพพระกับคำภาวนาและก็ลมหายใจเข้าออก เห็นภาพพระชัดเท่าไหร่ แล้วก็จงกำหนดไว้ว่า ข้าพเจ้าอยากจะรู้ว่านาย ก. ตอนนี้อยู่ที่ไหน เพียงเท่านี้แหละ ภาพนาย ก. ก็จะปรากฏชัดเจนเท่ากับภาพพระที่เราเห็น นี่เป็นวิธีฝึกใหม่ ๆ นะ

ถ้าหากว่าจิตเห็นเขา บังเอิญาเราเห็นเขาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นคนเลว เมากินสุรายาเมา แต่ภาพนั้นกลายเป็นภาพนาย ก. เฉย ๆ เหมือนคนธรรมดาแก่หรือว่าเด็กหรือว่าหนุ่ม ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วจงมีความรู้สึกว่า นั่นเป็นภาพเดิมที่นาย ก. แสดงให้เรารู้จัก ยังไม่ใช่ภาพแท้ในปัจจุบัน ต้องกำหนดจิตถามนาย ก. ว่า ( พูดกันด้วยใจนะ เอาใจพูดกัน ตอนนี้เริ่มเป็นทิพย์แล้ว )

ถามว่าปัจจุบันนี้นานย ก. อยู่ที่ไหน แล้วมีสภาพความจริงเป็นยังไง รูปร่างหน้าตา ภาพนาย ก. เดิมก็จะหายไป จะกลายเป็นภาพปัจจุบัน เขาอาจจะเป็นเทวดาก็ได้ เขาอาจจะเป็นพรหมก็ได้ ถ้าท่านจะถามว่าเป็นเทวดาหรือพรหมได้ยังไง ก็เพราะว่าเวลาก่อนที่เขาจะตายน่ะ ใจเขานึกอะไร ดูอย่าง ท่านสุปฏิฐิตเทพบุตร ท่านสร้างกรรมอันลามกทุกอย่างทุกประเภท แต่ว่าก่อนจะตายใจท่านนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชั่วขณะเดียว ท่านก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แล้วฟังพระพุทธเจ้าเทศน์อีกจบเดียวก็ได้พระโสดาบัน

ฉะนั้น ก่อนที่อยากจะรู้อะไร อย่าไปสืบประวัติเดิมเขา ไม่ต้องไปสืบ ถ้าขืนสืบอุปาทานมันกิน มันกินตรงไหน นึกถึงภาพเขาฆ่าสัตว์ เราก็นึกว่านาย ก. นี่ต้องลงนรกล่ะ ทีนี้ภาพสัตว์นรกมันก็เกิดน่ะซิ อย่างนี้เขาเรียก " อุปาทาน " จำไว้ให้ดีนะ ว่าคำว่าอุปาทานน่ะใช้กันเฟ้อมาก ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอุปาทาน ถ้าหากว่านาย ก. ลงนรก เราจะเห็นภาพนาย ก. อยู่ในนรก มีโทษประการใด ไฟเผา สรรพาวุธสับฟัน หรือตะกายต้นงิ้ว แย่ก ๆ ๆ หรือว่าตกอยู่ในกระทะทองแดง เราจะเห็นชัดเท่ากับที่เราเห็นภาพพระ นี่ผมถือว่าเป็นอันดับต้น

แต่ทว่าการเห็นอันดับแรกนี่ หากว่าจิตเราทรงฌานไม่ดี บางทีพอนึกจะถาม ภาพนั้นมันหายไปเสียแล้ว พอภาพนั้นหายไป เราก็ตั้งท่าใหม่นึกถึงอารมณ์นั้นจับอารมณ์เดิม พออารมณ์ทรงตัวภาพนั้นก็จะเกิด พอถามคำหนึ่งภาพหายไปเสียอีก นี่เป็นวิธีฝึก แต่ว่าการฝึกนี่ไม่แน่นะ บางคนก็ปรี้ดปร้าดได้ถึงจุดปลายทางเลย นี่ผมพูดตามลักษณะที่จะเกิด ทีนี้ทำยังไง เราจะพูดกันได้ล่ะ ต้องหัดตั้งเวลาที่ผมเคยบอกท่านไว้ว่าตั้งเวลานี่ทำยังไง เวลานี่ใช้แบบง่าย ๆ เอาลูกประคำมาชัก ๑๐๘ ลูก คือ ๑๐๘ จบที่ภาวนา ตอนนี้จับภาพพระไปด้วยใน ๑๐๘ จบนี่เราจะไม่ยอมให้จิตคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ถ้ายังไม่ครบ ๑๐๘ จบ ถ้ามันคิดขึ้นมาก่อนมีอารมณ์แทรก ก็เริ่มต้นมันใหม่ ใช้อิทธิบาทเข้าหั่นมันล่ะทีนี้ ใช้อิทธิบาทกับบารมี ๑๐ เข้าหั่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิบาท " ฉันทะ " พอใจ " วิริยะ " เพียรต่อสู้กับอุปสรรค " จิตตะ " เอาจิตเข้าจดจ่อในเหตุนั้น " วิมังสา " ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญไปด้วย ว่าเราภาวนาถูก ภาวนาจบหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้อะไรมาก เราว่ากันถึงฌาน ให้ทรงอารมณ์ให้ ๑๐๘ ใช้อารมณ์เท่าไหร่ แสดงว่าเราทรงสมาธิได้เวลาเท่านั้น เราก็สามารถจะพูดกับผีเทวดา หรือ พรหมเท่าเวลาที่เราเคยทรงไว้ นี่เป็นอันดับต้น และก็ในอันดับต้นนี้จะมีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ เวลานั่งอยู่ คุยอยู่ ทำอะไรอยู่โดยไม่ได้คิดภาวนาเลย แต่จิตเวลานั้นมันจะตกไปอยู่ถึงอุปจารสมาธิพอดี จิตจะมีความรู้สึกว่าเหตุอย่างนั้นเหตุอย่างนี้จะปรากฏ เอ๊ะ! หรือว่าเป็นภาพปรากฏแต่จิต รู้ว่าภาพนี้เป็นเหตุอันนั้นอันนี้ อันนี้ต้องเชื่อทันทีและห้ามคิดห้ามไตร่ตรอง ห้ามใคร่ครวญเอามาแก้ไข หรือว่าถ้าจิตมันพลาดเลยไปจากนั้นแล้วอารมณ์มันไม่ใช่ทิพย์ ไปใคร่ครวญแก้ไขพิจารณามันก็ไม่ถูก

นี่อีกประการหนึ่ง บางทีกำลังคุยกับเพื่อน อ่านหนังสือหรือทำงานอยู่มันง่วงนอน ง่วงนอนทนไม่ไหว นั่นแสดงว่าเทวดาหรือพรหมหรือว่าพระท่านจะบอกอะไรแล้ว ก็มันทนไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องไปนอน พอล้มตัวนอนพั๊บ ภาพนิมิตเกิดจิตบอกทันทีว่าอะไรมันจะมีมา แล้วก็เท่านั้นแหละ อาการง่วงมันจะหายไป แล้วเราก็ต้องเชื่อทันทีว่านี่เหตุนั้นมันจะพึงบังเกิด นี่ว่ากันถึงตอนต้น ๆ นะ อันนี้เราพูดกันละเอียด ๆ หน่อย เพราะว่าจะพูดกันด้านอภิญญาเลยทีเดียวนี่ ผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดเพราะใช้กำลังเท่ากัน ไอ้เราก็พูดไว้ทั้ง ๒ อย่างเพราะบางท่านก็มีกำลังใจถึงขั้นมโนมยิทธิเกือบอภิญญา บางท่านมีกำลังใจไม่ถึง แต่ทว่าถ้าใช้กำลังใจแบบนี้แล้วก็ไปฝึกมโนมยิทธิด้วยก็กล้วยเลย

นี่ผมพูดถึงว่าการภาวนาว่า " พุทธัง เมฆนิมิต จิตตัง " แต่บังเอิญท่านไม่เอาอย่างนั้น ท่านไปล่อ " นะมะ พะธะ " เข้ามีหวังใช้ได้เลย แต่ทว่าถ้าจิตเข้าถึงระดับนี้ กำลังจะเริ่มขยับ ๆ มันเรียกว่า " อภิญญา " ยังไม่บินนะ ทำเริ่มไหวตัวนิด ๆ เหมือนกับต้นไม้ที่ถูกลมหน่อย ๆ ทีนี้กำลังจิตของท่านเป็นกำลังจิตของฌาน คำว่า ฌานนี่ผมจะไม่อธิบาย ผมพูดมาจนเหนื่อยแล้ว จิตของฌานอารมณ์มันทรงตัว ผมไม่พูดถึงอุปจารสมาธิเบื้องสูง

พออารมณ์มันทรงตัวขึ้นมาหมดความรำคาญ ใจสบาย จับภาพพระได้นานภาพพระแจ่มใสขึ้น แบบนี้เราไม่ต้องไปฝึกแบบกสิณ และก็สามารถจับภาพพระได้สัก ๕ นาทีหรือ ๑๐ นาที ใสชัดขึ้นกว่าเก่า ตอนนี้เราก็ต้องทำให้คล่อง ทางที่ดีเวลาเช้ามืดตื่นขึ้นมา ต้องพยายามเช้ามืดนี่มีเวลาที่มีความสำคัญมาก เพราะตอนหัวค่ำนี่เราเหนื่อยมาตลอดวัน มีภาระ ถึงแม้ว่าไม่มีภาระอะไรอยู่อย่างอื่นมากไม่แบกไม่หาม เราก็ต้องทำโน่นทำนี่ คุยกับคนนั้นคนนี้มีภารกิจ อ่านหนังสือหนังหาจิตใจมันก็เหนื่อยเหมือนกัน ประสาทมันเหนื่อย

ฌานนี่ต้องอาศัยกำลังกายเป็นสำคัญนะ อย่าลืม ถ้าหากว่าร่างกายของเรามันทรุดด้านประสาทมันทรุดไปนิดเดียว บางทีเราไม่รู้สึกตัวว่ามันทรุด เห็นมันยังดี ๆ อยู่ แต่อารมณ์มันมัวไปเสียแล้ว นี่ต้องรู้ไว้ด้วยนะ!

แล้วก็ประการที่สอง สำหรับพระ สามเณร พระเป็นอาบัติมันก็มัว ถ้าไม่มีอาบัติมันไม่มัว อันนี้เราจับตัวของเราได้ดี มันจะต้องระมัดระวังเรื่องอาบัติ ถ้าอาบัติใหญ่ล่ะก็พังไปเลย อย่างสังฆาทิเสสนี่ไม่มีหวัง สังฆาทิเสสหรือปาราชิกนี่หมดหวังไปเลย ตั้งแต่นิสสัคคิยปาจิตตีย์ไปถึงปาจิตตีย์นี่มันเริ่มมัว ถ้าเป็นการป้องกันไว้ละก็ เวลาก่อนที่จะสมาทานเรานั่งอยู่กับเพื่อนกัน เราก็บอกว่า วันนี้เราตรวจจิตดูซิ ตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนนี้จิตอารมณืเรามันเสียจุดไหนบ้างในด้านของอาบัติ

ถ้ามันเสียเราก็บอกเพื่อนพระ บอกวันนี้จิตผมมัวหมองไปเสียแล้ว ผมเลวไปเสียหน่อยไปละเมิดจุดนั้นจุดนี้เข้า ผมจะพยายามตั้งใจจะไม่ทำอย่างนี้อีก จะไม่พูดอย่างนี้อีก จะไม่คิดอย่างนี้อีก บอกเขาตรง ๆ เป็นภาษาไทย ๆ นั่นแหละ แม้ว่าใจของเราคิดว่าจะระมัดระวังไม่ยอมให้อาการอย่างนี้ที่มันเป็นอาบัติเกิดขึ้น จิตทรงตัวไว้แต่ถ้าเรายังไม่ได้ฌานสมาบัติจริง ๆ มันอดเผลอไม่ได้เป็นของธรรมดา อันนี้ผมไม่ตำหนิแต่ขอให้ท่านตำหนิตัวของท่านเองไว้ว่า เราไม่ยอมพลาดเรื่องอาบัติ

ถ้าวันไหนอาบัติไม่กินวันนั้นแจ่มใส วันไหนไม่เพลียวันนั้นแจ่มใส วันไหนร่างกายไม่ทุพพลภาพหมายความด้านประสาททรงตัว วันนั้นก็แจ่มใส


นี่เวลาเช้ามืดจับภาพพระด้วยคำภาวนาด้วยลมหายใจเข้าออกด้วย ยังไม่ต้องการรู้อะไรทั้งหมด ไอ้การจับภาพใช้คำภาวนากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกให้มันทรงให้ดี ให้ทรงตัวดีจริง ๆ เมื่อทรงตัวดีจริง ๆ บังเอิญมันสว่างเสียก่อนถึงเวลาบิณฑบาต เอ้า! ก็ไม่ต้องรู้อะไรมันถ้าจิตมันทรงตัวดีจริง ๆ ภาพพระแจ่มใสตามกำลังที่เราพึงได้ อย่างนี้จิตสบายเป็นเอกัคคตารมณ์มีอารมณ์แนบแน่น

พอใกล้เวลาที่ต้องออกบิณฑบาต ก็นึกน้อมจิตนึกไปว่า เอ๊ะ! วันนี้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ จะมีอะไรมาผ่านเราบ้างหรือเปล่า อารมณ์ที่ถูกใจหรืออารมณ์ที่ไม่ถูกใจมีใครบ้างหนอ ผู้ชายกี่คนผู้หญิงกี่คนที่มาทำให้เราไม่สบายใจ หรือทำให้เราสบายใจ หรือว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้น จิตมันก็จะบอกนี่เรียกว่าใช้จิตกันก่อนนะ

แต่เนื้อแท้จริง ๆ เขาไม่ใช้จิตนะ ใช้จิตน่ะซวย เขาเอาจิตนึกถึงภาพพระ ถามภาพพระว่าวันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วอารมณ์ของจิตนั่นแหละมันจะบอกขึ้นมาเอง ถ้าพระท่านบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็จดไว้ ถ้าจับภาพพระนิมิตแล้วอารมณ์จิตมันก็บอกเข้ามาเองแล้วก็จดไว้ ผมรับรองเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีอะไรผิด

เป็นอันว่า ขอบรรดาท่านทั้งหลายที่มีความประสงค์จะพึงให้ได้ทิพจักขุญาณ นั่นก็คือ ขอให้ท่านทั้งหลายจงใช้กำลังใจของท่านให้มั่นคง เรื่องความมั่นคงของจิตนี่มีความสำคัญมาก เพราะว่าการรักษากำลังใจึงแม้ว่าจะฝึกแบบไหนทั้งหมด ก็มีผลเสมอกัน ตามที่กล่าวมาแล้ว ก็หมายถึงว่ากำลังใจของท่านเข้าสู่อุปจารสมาธิหรือว่าอุปจารฌาน ความจริงทิพจักขุญาณนี่สามารถจะใช้กำลังจิตได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิ แต่ทว่าไม่สามารถจะพูดกับเทวดาหรือพรหมหรือว่าใครต่อใครได้ตามอัธยาศัย

อ่านหน้าที่ ๒Copyright © 2001 by
Amine
29 เม.ย. 2545 09:35:50