ตายแล้วไปไหน..ตอนที่ ๑

ความจริงปัญหาเรื่อง ตายแล้วไปไหน นี้ ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านสาธุชนเลย เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า

เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สาย คือ
๑. อบายภูมิ ได้แก่ เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

๒. เกิดเป็นมนุษย์

๓. เกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์

๔. เกิดเป็นพรหม

๕. ไปพระนิพพาน

การที่ท่านผู้ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรม คือ การกระทำ ได้แก่ ความประพฤติดีหรือชั่ว ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง

กฎของกรรม หรือ ผลของความประพฤติดีชั่ว ที่จะพาตัวไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่ท่านทรงตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

ทางสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือ ก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ ๆ ไว้ ๕ ประการ คือ

๑. เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหง รังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี

๒. มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือ ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง

๓. ใจเร็ว ได้แก่ มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยา และ ธิดา สามีของคนอื่น ด้วยความมัวเมาในกามคุณ

๔. พูดปด ได้แก่ พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา

๕. ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบ ด้วยน้ำเมา

กรรม คือ ความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายแล้วไปสู่อบายภูมิ มีตกนรก เป็นต้น

แดนเกิดสายที่ ๒ คือ เกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมี กรรมบถ ๑๐ หรือเอากันที่รู้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นคนมี ศีล ๕ ประจำ ได้แก่

เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหงทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตัวเอง

ไม่มือไว คือ เคารพสิทธิในทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของผู้อื่น

ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระ ตรงต่อความเป็นจริง

ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ เป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความชั่วความดีตามกฎของจิตใจ ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่าง ๆ ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายแล้วมีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้

แดนเกิดสายที่ ๓ ได้แก่ สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่าง คือ

๑. เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำความชั่วในที่ทุกสถาน

๒. เกรงผลของความชั่วจะทำให้เกิดความเดือดร้อน เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลให้คนเกิดเป็นเทวดา

แดนเกิดสายที่ ๔ ได้แก่ พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละชั้น พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดา และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา

แต่พรหมท่านว่าไม่มีเพศ คือ ไม่มีเพศหญิงชาย จะเป็นอะไรท่านก็ไม่บอก ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัด คือ ไม่มีภรรยาสามี คงจะเหงาแย่ก็ไม่รู้ แต่ตามคำสอนท่านว่ามีความสุขกว่าเทวดา น่ากลัวจะมีความสุขสงบสงัด เพราะไม่มีใครขัดคอด้วย อยู่เดี่ยวเดียวดายหาใครเป็นคู่ทะเลาะไม่ได้

ท่านที่จะเป็นพรหมได้ ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานที่ได้ฌาน

แดนที่ ๕ ได้แก่ นิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่านิพพานสูญกันเสียเป็นประเพณีไปแล้ว จะขอบอกไว้ย่อ ๆ ว่า คนที่จะถึงนิพพานได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่าง คือ

๑. ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้ตัวเสมอว่าจะต้องตานย และพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายความพลัดพรากเสียได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึง หรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

๒. ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริง ที่ท่านกล่าวว่าทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพ คือ เป็นอย่างนั้นเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีคุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ ดังนี้เป็นต้น

๓. รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

๔. ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้เท่าถึงตามความเป็นจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตน เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

๕. มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธ ไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากเมตตา

๖. ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

๗. ไม่เมาในอรูปฌาน โดยคิดว่า ความดีเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

๘. มีอารมณ์ปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

๙. ไม่ถือตนทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร ไม่คิดว่าเลวกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรพัย์สินทั้งหมด เป็นของธรรมดาที่จะต้องตายทำลายตนเอง และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว เมื่อเข้าสังคมสมาคมใด ๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมสมาคมนั้น ๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมแก่สมาคมนั้น ๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

๑๐. ตัดความรัก ความพอใจในโลกียวิสัยเสียให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงนิพพานก็ยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้ อยู่ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่า จะต้องตายมีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์บุคคลใด เท่านี้ก็ไปนิพพานได้ เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไปเมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพุสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรและปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่ง ไม่ใช่เรียนแบบไทย

ฝรั่งเขาสงสัยอะไร เขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้ เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย

ที่ว่าอย่าเรียนแบบไทยก็เพราะ คนไทยเป็นคนมีบุญทุกอย่างไม่ต้องลงทุน คอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจ ได้เปรียบฝรั่งตั้งเยอะ แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่า ไม่ใช่เราเห็นเอง

เรื่องของการตายแล้วไปไหนก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัย หรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริง ๆ

หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม คือ ท่านให้เจริญสมาธิ มีอภิญญาเป็นบท คือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณท่านให้ใช้ เตโชกสิณ เพ่งไฟ อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ คือ อุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญ ฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้

การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านอาจจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เอง เห็นเอง ตามแนวสอนของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าฟังกันแล้วก็คิดกัน ไม่ทำตาม เอาแบบไทยแท้แล้ว ความหวังที่ตั้งใจก็คงเหลวแน่ เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตาย

เมื่อว่ากันถึงการปฏิบัติตาม ท่านที่มีอารมณ์เป็นไทย ไม่ใช่ทาสของความสงสัยก็คงรำคาญ ท่านอาจจะคิดว่าเขาทำกรรมฐานเป็นล่ำเป็นสันในปัจจบัน ใครบ้างที่รู้ได้ อันนี้ก็ยากที่จะบอกให้ฟัง เพราะท่านที่รู้นั้น คนไม่อยากคุยด้วย เพราะไปคุยด้วยเมื่อไร พ่อพูดแต่เรื่องตายอย่างเดียว หวยก็ไม่ใบ้ ไพ่ก็ไม่บอก จะคบกันได้อย่างไร เรื่องมันเป็นอย่างนั้น

เมื่อท่านที่รู้ท่านไม่บอก จะเอาคนที่รู้มาบ้างแล้ว และบอกได้มีไหม ขอบอกว่ามี ใครหรือ? มีหลายท่าน แต่ละท่านก็รู้ก็ทราบกันคนละจุดสองจุด จะยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง ค่อย ๆ ฟังกันคราวละรายสองราย

รายแรก จะขอนำเรื่องของท่าน พันเอกสมาน วีระไวทยะ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นี้ ท่านพลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ รู้จักดี ถ้าสงสัยว่าท่านพันเอกสมานอยู่ที่ไหน จดหมายหรือโทรเลขไปถามท่านดูก็ได้ คิดว่าท่านคงสงเคราะห์บอกให้ ท่านผู้นี้เคยตายมาแล้วและกลับฟื้นคืนชีพ ท่านเล่าเหตุการณ์ของแดนที่ไปแดนที่หนึ่ง คือ นรก นำมาเล่าสู่กันฟัง

ลองฟังเรื่องของท่าน เอาไว้เป็นเครื่องประดับอารมณ์เพื่อความเชื่อ หรือ เพื่อรำคาญก็ตามใจ เรื่องของท่านมีดังต่อไปนี้

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามระบาดเข้ามาถึงประเทศไทย ท่านพันเอกสมาน สมัยนั้นมียศเป็นร้อยโท ท่านถูกส่งตัวไปประจำสมรภูมิเมืองพราก เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางแม่สายกับเชียงตุง

ระหว่างที่พักอยู่ในค่ายทหารที่เมืองพรากนั้น ท่านกับเพื่อนนายทหารอีกสองคน คือ ร้อยโทสมฤกษ์ พลศิริ และ ร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์ ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคมาเลเรียนขึ้นสมองอย่างแรง

ต่อมาร้อยโทสมฤกษ์ อาการค่อนข้างดีขึ้น แต่ร้อยโทวิทย์ได้ถึงแก่กรรม ส่วนท่านเองมีอาการไข้หนักมาก

พอถึงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๕ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. ท่านพันเอกสมานก็สิ้นลมหายใจ ว่ากันตรง ๆ ก็ตายนั่นเอง ท่านตายเพราะพิษไข้ ไม่ได้ตายเพราะสงคราม น่าเสียดายที่กำลังสำคัญชั้นนายทหารสัญญาบัตร อันเป็นกำลังของกองทัยต้องมาสิ้นชีวิตลง ทำให้กำลังของกองทัพต้องเสียกำลังไป แม้แต่จะเป็นส่วนน้อยเพียงนายร้อยโทคนเดียว

ท่านอาจคิดว่าไม่สำคัญ ก็ขอให้คิดว่าทหารให้กองทัพนั้นไม่ว่าทหารคนใดจำนวนมากน้อยเพียงใดก็ตาม ย่อมมีความสำคัญยิ่งแก่ประเทศชาติ ยิ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตรที่มีอำนาจคุมทหารถึงหนึ่งหมวด เมื่อเสียนายทหารไปหนึ่งคนก็เท่ากับเสียกำลังทหารไปหนึ่งหมวด แต่ทว่าเรื่องสำคัญที่ตัวบุคคล แม้จะสำคัญเพียงใดก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะพูดในขณะนี้ ในที่นี้ต้องการเรื่องที่ท่านตายแล้วไปนรกมา ฟังเรื่องของท่านต่อไป

เมื่อข่าวนายร้อยโทสมาน ( ยศสมัยนั้น ) สิ้นลมปราณรู้ถึงนายแพทย์สนาม คือ ร.อ. ประภาคาร กาญจนาคม ( ต่อมามียศเป็นพลตรี ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่กรมแพทย์ทหารบก ) ท่านได้มาตรวจดูเห็นว่า ร.ท. สมาน ตายแน่ จึงได้มีคำสั่งให้ทหารนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บศพ ห้องเก็บศพนี้มีไว้สำหรับเก็บศพทหารที่ตายแล้ว และคนป่วยที่เห็นว่าไม่มีทางรอด คือ แก้ไขไม่ได้ จะต้องตายแน่นอนก็เอาไว้ที่ห้องนี้ เพื่อรอเวลาสิ้นลมในที่สุด เป็นระเบียบของแพทย์ในสนามหรืออย่างไรไม่ทราบ

ท่านเล่าเรื่องของท่านว่า เมื่อท่านป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ทุกขเวทนามันรุมเล่นงานท่านขนาดหนัก ร่างกายทุกส่วนมันเจ็บปวดหมดทั้งร่าง ไม่มีส่วนใดที่จะแสดงออกถึงความสุข คือ ไม่ปวดร้าวไม่มีเลย แม้แต่เส้นผม เมื่อมีใครมาถูกก็รู้สึกปวดจนทนไม่ไหว แต่ทว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ท่านกล่าวว่า กลับไม่มีอาการเจ็บ

ท่านกล่าวว่า ตอนนั้นปรากฏร่างของท่านเกิดมีสองร่าง ร่างหนึ่งนอนเฉยเหมือนคนตาย ตอนนี้ท่านยกข้อเปรียบเทียบ ความจริงก็เช่นนั้น ร่างเดิมที่นอนป่วยอยู่นั้น เมื่อสิ้นลมปราณ คือ ลมหายใจ เรื่องของความรู้สึกใด ๆ ที่มีอยู่เมื่อสมัยมีลมหายใจมันก็หมดเรื่องกัน ตอนนี้คนเราจะรักจะมีความมั่นหมายปรารถนาในกันและกัน ก็แค่ขณะมีลมหายใจเท่านั้น เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว เพียงชั่วไม่ถึงชั่วโมง คนที่เคยรัก เคยหวงและห่วงใยสมัยที่มีลมหายใจไม่อยากห่าง แต่ตอนสิ้นลมปราณแล้วก็เกิดความรังเกียจ เกลียดกลัวคนที่เคยรักและหวงแหน

เมื่อท่านเห็นร่างเดิมนอนสงบนิ่ง ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่า ท่านมีร่างใหม่เกิดขึ้นแทน ร่างนี้ไม่นอนแต่ลอยอยู่เฉย ๆ เห็นพวกทหารด้วยกันมาในที่ที่ท่านนอนตาย ท่านพยายามทักทายปราศรัย พูดจากับเพื่อนทหาร ไม่มีใครยอมพูดด้วย ท่านรู้สึกรำคาญเห็นว่า เมื่อเพื่อนร่วมตายทั้งหลายไม่มีใครยอมพูดจาปราศรัยด้วย ท่านก็เกิดมีความรู้สึกเบื่อ อยากจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมเยียนบุตรภรรยา

เมื่อความคิดว่าจะกลับบ้านกรุงเทพฯเกิดขึ้น ท่านก็เกิดมีความรู้สึกว่าร่างกายเบาผิดปกติ เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เมื่อตั้งใจออกจากสถานที่นั้นก็ลอยลิ่วอย่างรวดเร็ว ไม่เชื่องช้าเหมือนร่างเดิม มุ่งสู่กรุงเทพฯ

แต่ทว่ายังไม่ทันจะพ้นที่เดิมเท่าใดนัก ก็ปรากฏมีชายชราคนหนึ่งยืนขวางหน้าท่านไว้ เมื่อท่านลอยมาถึงชายชราคนนั้นบอกให้หยุด และกล่าวว่า

"อย่าเพิ่งไปกรุงเทพฯ เลย ขอให้ตามฉันมา ฉันจะพาเธอไปหาท่านพ่อ"

ชายชราคนนั้นแต่งกายคล้ายขุนนางโบราณ ท่านได้รับฟังแล้วก็สงสัยในคำกล่าวที่ว่า "จะพาไปหาท่านพ่อ" แต่ก็ปรากฏว่าลอยตามท่านผู้นั้นไปอย่างคนว่าง่าย

ชายชราขุนนางโบราณคนนั้น ได้พาท่านมาถึงเมือง ๆ หนึ่ง เมืองนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก มีกำแพงสีขาว แต่ทว่าประตูกำแพงสีดำ เมื่อท่านขุนนางชราพามาถึงประตูสีดำ ท่านได้เคาะระฆังที่แขวนไว้หน้าประตู สักประเดี๋ยวเดียวบานประตูก็เปิดออก ภายในเห็นมีทหารยืนเรียงรายอยู่หลายคน ต่างก็มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ยืนรักษาการที่ภายในประตู

เมื่อผ่านประตูสีดำไปแล้ว ท่านขุนนางโบราณคนนั้นก็พาเดินไปถึงประตูอีกชั้นหนึ่ง ประตูนี้มีสีเป็นสีทอง กำแพงก็มีสีเป็นสีทองดูสวยงามมาก เพราะจะมองไปทานไหนเห็นเป็นทองระยิบระยับไปหมด

เมื่อถึงประตู ท่านก็เคาะระฆังเรียกเหมือนประตูแรก แล้วบานประตูก็เปิดออก ท่านพาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มีความสวยสดงดงามมาก มีลักษณะคล้ายท้องพระโรง ภายในท้องพระโรงนั้น มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่หลายคน แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขมักเขม้นเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยกันเหมือนห้องทำงานในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์นี้ นักการทำงานทั้งทำทั้งคุย มีจำนวนมากที่คุยมากกว่าทำ แต่ก็มีไม่น้อยที่ท่านขยันขันแข็งต่อการงานอย่างจริงจัง ไม่ชอบพูดพล่ามทำเพลง เวลางานเป็นงาน แต่ท่านที่ทำงานดีอย่างนี้มีสภาพเหมือนคนปิดทองหลับงพระ เพราะมัวห่วงงานไม่มีเวลาประจบสอพลอ ดีไม่ดีผู้บังคับบัญชาลืมขอบำเหน็จให้เสียก็ยังได้

ฉะนั้น นักทำงานดีในเมืองมนุษย์ต้องทำงานดีด้วยและทำให้ถูกใจผู้บังคับบัญชาด้วย จึงจะมีผลตอบแทนที่สาสมกับความขยัน หมั่นเพียร ฉะนั้น คนทำงานในเมืองมนุษย์จึงต้องฝึกทั้งการทำงาน และซักซ้อมคารมพร้อม ๆ กันไป จึงเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนอกจากทำงานเก่งแล้ว ยังคุยเก่งอีกด้วย บางรายคุยเก่งกว่าทำตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังพอหาได้

ที่นั่นเป็นเมืองผี ผีเขารู้งานโดยไม่ต้องรายงาน ใครขยัน ขี้เกียจ ผู้บังคับบัญชาทราบเอง เพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ เจ้าหน้าที่จึงไม่ต้องซ้อมวาทะไว้เพื่อรายงาน ของเขาก็ดีไปอย่างหนนึ่ง แต่เงียบเหงามาก เพราะเมื่อนั่งอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่ามีเสียงคนพูดเลย ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างไม่ยอมมองมาดูเลย

ทุกคนมีหน้าตาแปลกประหลาดไม่ใคร่เหมือนคนสมัยปัจจุบันนัก เครื่องแต่งกายก็คล้ายกับคนสมัยโบราณทั้งหมด มีทั้งทหารและพลเรือน

เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้นำได้บอกให้ทราบว่า

"คอยสักประเดี๋ยว ท่านพ่อจะเสด็จออก"

แล้วก็ชี้ให้ดูประตูที่ท่านพ่อจะเสด็จออก เป็นประตูสีทอง มีม่านสีทองผืนใหญ่รูดปิดไว้ บนบริเวณที่ที่ท่านพ่อจะออกมาประทับมีสภาพกว้างขวาง สวยสดงดงามมากคล้ายเวทีละคร สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงมโหรีดังขึ้น มีเสียงตะโกนออกมาว่า

"พระยายมเสด็จแล้ว" เสียงนั้นบอกกันต่อ ๆ ออกมา ท่านกล่าวว่า เมื่อได้ยินเสียงบอกว่า พระยายม เท่านั้น ท่านว่าความรู้สึกขณะนั้นบอกไม่ถูก มีความหวาดกลัวที่สุด ด้วยคำว่า พระยายมได้ยินจนชิน ตามความรู้สึกแล้วคิดว่า พระยายมคงมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ดุดันเหี้ยมโหด ด้วยได้รับคำขู่ไว้เมื่อสมัยมีชีวิตว่า

พระยายมถ้าเอาใครเข้าไปสู่สำนัก คนนั้นก็ไม่พ้นการลงโทษอย่างสาหัส คือ เอาลงนรก

เขาเล่าใหัฟังกันมาอย่างนั้น จนความรู้สึกของตนจดจำคำว่าพระยายมไว้จนชิน และมีความหวาดสะดุ้งอยู่เป็นปกติ แล้วเมื่อมาได้ยินคำว่า พระยายมออกมาแล้ว และอยู่ในสำนักพระยายมด้วย ความหวาดหวั่นยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ

เมื่อม่านสีทองถูกเปิดออก พระยายมเสด็จออกประทับที่แท่นอันสวยงดงามเป็นพิเศษ หาความสวยใด ๆ ที่ประดับด้วยทองและเพชรนิลจินดาในเมืองมนุษย์ที่จะงามคล้ายคลึงแท่นที่พระยายมประทับไม่มีเลย เมื่อเห็นองค์พระยายมจริงเข้า ความเข้าใจที่ว่าพระยายมคงจะมีรูปสูงใหญ่ หน้าตาดุร้าย ตวาดคนลั่นเมือง ตามที่คิดไว้ผิดถนัด

รูปร่างของพระยายมที่เห็น ก็มีรูปาลักษณะเป็นคนธรรมดาเรานี่เอง อาการที่แสดงออกไม่มีริ้วรอยของความโหดร้ายเลย มีอารมณ์เยือกเย็น เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีเครื่องแต่งกายสวยงามมาก มีความสวยสง่ากว่าทุกคนในที่นั้น เมื่อพระยายมเสด็จประทับบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ท่านขุนนางโบราณผู้เฒ่าที่พาท่านไป ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า

"ขณะนี้ได้พาคนที่ท่านประสงค์จะพบ มาแล้วตามพระบัญชา"

เมื่อท่านขุนนางชรากราบทูลแล้ว ท่านพระยายมก็หันมาทางท่านพันเอกสมาน ขณะที่ท่านพูดก็พูดด้วยอาการของคนมีเมตตา คือ อารมณ์แจ่มใส หน้าตาเบิกบาน ไม่เหมือนพระยายมในโทรทัศน์ ที่นักออกแบบให้คนที่สมมติว่าเป็นพระยายม แอบเอาเขาสวมเข้าด้วย มองแล้วไม่น่าว่าจะเป็นเขาอะไร จะเป็นเขาวัวก็ไม่ใช่ เขาควายก็ไม่เชิง จะว่าเหมือนเขาสัตว์ประเภทไหนก็ไม่ชัด ที่แน่เห็นจะเป็นเขาของคนออกแบบนั่นแหละ อาจจะตรงตามความจริง

ส่วนพระยายมที่ท่านพันเอกสมานเห็นนั้น ไม่มีเขา และ สวยงามด้วย เป็นอันว่า พระยายมตามคติของปวงชนที่เข้าใจกันมาในอดีต ไม่ตรงกับความเป็นจริง เมื่อพระยายมหันมาทางท่านพันเอกสมาน ท่านได้พูดว่า

"ที่ให้พระยามัจจุราช หมายถึง ท่านขุนนางโบราณคนที่ไปดักหน้าแล้วนำมาที่นี่ ความจริงเธอยังไม่หมดอายุขัย คือ ยังไม่ถึงกำหนดตายนั่นเอง ที่ให้เขาพามาก็เพื่อให้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ตามความเป็นจริงของยมโลก เมื่อกลับไปเมืองมนุษย์จะได้ปฏิบัติแต่ความดี ไม่ทำความชั่วอีก เมื่อได้ดูสิ่งต่าง ๆ แล้ว จะได้ให้พระยามัจจุราชนำไปส่ง" แล้วท่านก็ให้โอวาทอย่างยืดยาว

โอวาทที่ให้นั้นมีความสำคัญอยู่อย่างเดียว คือ ให้พยายามประพฤติแต่ความดี พยายามทำบุญทำทานไว้ อย่าประพฤติตนเป็นคนชั่วใจบาปหยาบช้า เพราะเมื่อทำตนเป็นคนใจบาป เมื่อตายแล้วผลของความชั่วจะนำไปสู่นรก มีโทษทัณฑ์หนักมาก มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ไม่มีโอกาสที่จะพักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าจะสิ้นกำหนดตามกฎการลงโทษ ตามกรรมชั่วที่ทำ

แต่ถ้าทำตนเป็นคนดี ทำบุญให้ทานไว้เสมอ ๆ บุญและความดีจะส่งผลให้พ้นนรก ได้ไปเกิดบนสวรรค์ อันเป็นดินแดนที่แสนสุข มีความสำเร็จตามใจประสงค์ทุกประการโดยไม่ต้องใช้กำลังกายทำงาน

ท่านให้โอวาทอยู่นานพอเวลาสมควร ท่านก็บอกให้พระยามัจจุราชนำไปชมสถานที่ลงทัณฑ์ต่าง ๆ ให้พาไปดูให้ทั่ว จะได้รู้ได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่ท่านพันเอกสมานไม่มีความประสงค์จะดูอะไรเลย ท่านมีความประสงค์ใคร่จะกลับ ท่านพระยายมท่านก็ไม่ขัดใจ เมื่อไม่อยากดูท่านก็ไม่ว่า ท่านก็มีบัญชาให้พระยามัจจุราชนำไปส่งที่เดิม

น่าเสียดายตอนนี้ ถ้าท่านพันเอกสมานท่านไปชมนรกมา แล้วนำมาเล่าให้คนเบื้องหลังฟัง จะมีประโยชน์แก่คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์นี้มาก เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นนายทหารใหญ่ที่มีความรู้เรื่องราวของชาวโลกดี มีสังคมกว้างขวางพอสมควร เป็นที่เชื่อถือของท่านบรรดาบัณฑิตได้พอควร ซึ่งมีสภาพตรงกันข้ามกับนักปราชญ์ที่เรียนรู้มาจากศาลาวัด ท่านจัดเป็นนักปราชญ์ประเภทที่คร่ำครึ ถึงแม้จะรู้จริงก็ตาม แต่หาคนเชื่อได้ยาก

บางรายนักเรียนศาลาวัดเองนั่นแหละ สอนคนอื่นสอนได้แต่ตัวเองไม่เชื่อ อย่างนี้ก็มีไม่มีน้อย เพราะท่านนักปราชญ์ประเภทนี้รู้จักกันมาก เคยเป็นนักเทศน์มาด้วยกัน เคยปรารภให้ฟัง เมื่อฟังท่านพูดแล้วก็สลดใจ

ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อขณะที่พระยามัจจุราชนำมานั้น ท่านนำมาทางเดิม เมื่อเดินไปถึงที่สุดทาง ท่านพระยามัจจุราชบอกว่า "ฉันมาส่งเพียงเท่านี้นะ ต่อไปเธอเดินไปเองก็แล้วกัน"

พอท่านพูดเท่านั้น ท่านว่าท่านเองมีอาการหวิวคล้ายกับพลัดตกจากที่สูง แล้วหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัว ปรากฎว่ามานอนอยู่ที่ห้องเก็บศพ ยังเคราะห์ดีที่มีทหารเฝ้าอยู่สองคน พอรู้สึกตัวก็กระหายน้ำมาก อาการอย่างนี้เล่าเหมือนกันทุกคนที่ตายแล้วกลับฟื้น ต้องมีการกระหายน้ำเป็นพิเศษ

เมื่อท่านเล่ามาถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ได้ถามท่านว่า

"ท่านตายไปกี่ชั่วโมง?"

ท่านบอกว่า "เมื่อหมดความรู้สึก คือ ตอนตายที่เกิดมีร่างเป็นร่างที่สองนั้น เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. เวลาที่ท่านรู้สึกตัวเป็นเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๔๘๕ รวมเวลาที่ท่านตายไปประมาณ ๑๒ ชั่วโมง"

ผู้ถามได้ถามต่อไปว่า "เมื่อท่านอยู่ท้องพระโรงของพระยายม ท่านพบคนที่รู้จักกันบ้างไหม?"

ท่านตอบว่า "พบหลายคน แต่ทุกคนที่พบ เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น ในจำนวนคนทั้งหมด มีร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์ เพื่อนนายทหารในค่ายเดียวกันที่ตายไปก่อนรวมอยู่ด้วย"

ท่านได้เล่ากับผู้ถามว่า ต่อมาภายหลัง ท่านได้ติดต่อโดยทางจิต ตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า นิมิต ภาษาพระ เรียกว่า ฌาน กับหลวงพ่อแก้วมรกต และเจ้าพ่อองค์สำคัญอีกหลายท่าน แต่ละท่านก็ให้คาถาที่เป็นประโยชน์มาใช้ รวมแล้วหลายบทและแนะนำวิธีปฏิบัติสมาธิกับใช้จิตให้เป็นประโยชน์ คือ อำนาจสมาธินั่นเอง ท่านนำมาใช้แล้วได้รับผลดีเป็นที่น่าเลื่อมใส คาถาที่ท่านได้มา เช่น คาถาต่ออายุ และ คาถาย่นระยะทาง

สำหรับคาถาย่นระยะทางนี้ ท่านพลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์ เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้เอง ท่านได้ร่วมทางกับท่านพันเอกสมาน มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านร่วมทางไปด้วย เมื่อขณะนั่งไปบนเครื่องบิน บังเอิญวันนั้นลมแรง นักบินรายงานว่า

"วันนี้จะถึงสนามลงไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ อาจเสียเวลาถึงครึ่งชั่วโมง"

เมื่อทุกคนสำรวจเวลา และสถานที่ที่เครื่องบินกำลังร่อนอยู่ว่าเป็นตำบลอะไร และตรวจความเร็วของเครื่องบินที่เคลื่อนไป ทุกคนทสี่ไปนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารอากาศผู้ชำนาญการบินมาแล้ว ต่างก็ยอมรับว่าวันนี้ไปถึงที่หมายปลายทางล่ากว่ากำหนดนัดแน่

เมื่อท่านพันเอกสมานทราบเรื่อง ท่านว่าท่านเรียนคาถาย่นหนทางมาจากท่านองค์ใด อาตมาจำไม่ได้ ท่านรับรองว่าจะไปถึงก่อนกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ แล้วท่านก็เริ่มภาวนาคาถา เมื่อเครื่องบินถึงที่หมายเข้าจริง ๆ พล.อ.อ. พะเนียง เล่าว่า

"ถึงก่อนกำหนดตั้ง ๔๕ นาที สนามบินเงียบเหงา คนที่จะมารับก็ยังไม่มีใครมารับเลย เพราะถึงก่อนกำหนดมากไป"

นี่เป็นคุณของคาถาบทหนึ่ง ที่ท่านพันเอกสมานเรียนจากท่านที่ไม่ใช่มนุษย์ ยังมีคาถาต่ออายุคนอีกที่ท่านทำเกิดผลมาแล้ว การต่ออายุท่านว่าต้องขออนุมัติจากท่านเจ้าของคาถาก่อน จะต่อได้กี่เดือนกี่วันก็สุดแล้วแต่จะตกลงกัน ไม่ใช่ต่อให้แล้วไม่รู้จักตาย ขอยุติเรื่องของท่านพันเอกสมานไว้เพียงเท่านี้ ที่นำเรื่องของท่านพันเอกสมานมาเล่าก่อนเรื่องคนอื่นใด ก็เพราะว่าท่านยังมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อว่าใครสงสัยจะได้สอบถามได้

อีกอย่างหนึ่ง ก็เห็นว่าท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีความรู้พอที่ชาวโลกจะเชื่อถือได้ แม้เรื่องของท่านจะเป็นเพียงมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมเล็ก ๆ ของมรณะโลก คือ โลกของคนตายแล้วก็ตามที ก็อาจะเป็นเหตุยืนยันได้ว่า คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ และยังต้องเสวยผลของกรรม คือ การกระทำหรือที่เรียกกันว่า ความประพฤติในชาติที่เป็นมนุษย์นี้

ใครทำดี ผลกรรมก็สนองให้มีความสุข
ใครทำชั่ว ก็รับผลเป็นความทุกข์

และจะได้ทราบว่า คนที่ตายแล้วยังจำญาติและพวกพ้องได้ ที่กลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องพวกพ้องก็มีมากราย แต่ใครเล่าจะเป็นคนเห็นผีอย่างท่านพันเอกสมาน ท่านเล่าว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างที่มีเนื้อเลือดเป็นสมุฏฐาน ก็ปรากฏมีร่างอีกร่างหนึ่งขึ้นมาแทน มันเป็นร่างที่มีอวัยวะทุกอย่างครบครันเช่นเดียวกับร่างนี้ แต่มีความเบามากกว่าหลายแสนเท่า มันไม่มีความรู้สึกหนักหน่วงเลย มีความคล่องตัวเป็นพิเศษ คิดว่าจะไปไหน ร่างนั้นจะลอยไปและถึงทันที

ร่างนี้ตามปกติมันอยู่ที่ไหน ถ้าท่านสงสัยอย่างนี้ก็ขอถามท่านว่า เมื่อท่านนอนหลับแล้วฝัน ท่านเอาร่างนี้ออกเที่ยวตามความฝันหรือเปล่า? ถ้าเปล่า ท่านเอาร่าง ร่างกายที่ไหนไป?

ตามเรื่องราวที่ท่านฝัน ถ้าท่านคิดไม่ออก ก็ขอบอกว่า ที่เขาพูดกันว่า คน ถ้าวิญญาณไม่สิ้นเพียงใด ความรู้สึกใด ๆ ก็ยังปรากฎ ถ้าวิญญาณดับเมื่อไร เมื่อนั้นความรู้สึกต่าง ๆ ก็สิ้นไป

วิญญาณท่านเข้าใจว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจก็ขอให้คิดเอาไว้ก่อนว่า ร่างของเราที่ปรากฎตามความฝันนั้น นั่นแหละคือ วิญญาณ เมื่อวิญญาณออกจากร่างเดิม อย่างท่านพันเอกสมาน ท่านพูดกับใครไม่มีใครรับรู้ ก็เช่นเดียวกับท่านทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ถ้าจะมาเยี่ยมญาติ เยี่ยมลูก เยี่ยมเมีย ใครเล่าที่เคยตัดพ้อว่า ถ้าตายแล้วไม่สูญ ทำไมไม่มีใครมาบอกบ้างว่า อยู่ที่ไหนมีความสุข ความทุกข์อย่างไร ท่านที่กล่าวนั้น เมื่อผีมาจริงท่านจะเห็นผีไหม เมื่อผีพูดด้วยท่านจะได้ยินเสียงไหม ข้อนี้ควรคิด

ที่เอามาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะนำเอาพระสูตรมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยในเรื่องของพระสูตร ที่มีท่านผู้รู้หลายท่านค้านว่า พระสูตรเป็นเรื่องนิทานปรัมปราเหลวไหลไม่ได้เรื่อง เมื่อเรื่องนี้มีการสอบสวนทวนพยานได้ หากท่านสงสัยจะได้คลายความสงสัยด้วยการสอบถาม ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟัง เจ้าของเรื่องบางท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ บางท่านก็ตายไปแล้ว

ต่อไปในโอกาสหน้า ถ้าหมดเรื่องที่เจ้าของเรื่องมีชีวิต ก็จะนำเรื่องของท่านที่เคยตายแม้สิ้นชีวิตแล้วก็ตาม เอามาเล่าสู่กันฟัง

สำหรับวันนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี

อ่านตอนที่ ๒Copyright © 2001 by
Amine
28 ก.พ. 2545 21:39:52