สำนักพระยายม

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้บอกบารมีให้แก่พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทว่า การที่จะบำเพ็ญบารมีไปนรกเขาบำเพ็ญกันยังไง

หวังว่าพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็คงยังจะจำได้ แล้วก็คงตั้งใจบำเพ็ญกัน บารมีกันครบถ้วนแล้ว เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ เข้าใจว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว

ถ้าอยากจะอยู่นรกเลยนะ ถ้าหากว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่มีความประสงค์จะอยู่นรก ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างนั้น ทำตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าสอน คือ

๑. ทรงอธิศีลสิกขา รักษาศีลให้บริสุทธิ์
๒. ทรงอธิจิตสิกขา พยายามเจริญสมถกรรมฐานให้มีจิตเป็นฌาน
๓. ทรงอธิปัญญาสิกขา พยายามเจริญวิปัสสนาให้จิตหมดจากกิเลส

อย่างนี้ไม่ต้องอยู่ในนรก แต่เที่ยวนรกได้สบาย เป็นอันว่า พระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก ก็คงจะบำเพ็ญบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งครบถ้วนแล้ว

วันนี้เตรียมตัวเดินทางต่อไป แต่ว่าจะเดินทางถึงไหนก็สุดแล้วแต่เวลา แต่ว่าสถานี ๐๔ ตาคลี มีนาวาอากาศตรี มนูญ ชมภูทีป เป็นหัวหน้าหน่วยสื่อสาร แล้วก็มีพันจ่าอากาศเอก กฤษณ์ บำรุงพงศ์ เป็นหัวหน้าสถานี อนุญาตอาตมภาพใช้สถานีท่องเที่ยวได้วันพุธละ ๓๐ นาที ความจริงเที่ยวจริง ๆ ไม่ถึง ๓๐ นาที เพราะอะไร เพราะมัวเกะกะตามทาง


อันนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คงจะสงสัยว่าทำไมถึงเกะกะ นี่ก็ตอบไม่ยาก ท่านทราบภาษิตโบราณดีอยู่แล้วว่า คนหัวล้านนอกครู อาตมาก็มีสภาพเผ่านพันธุ์หัวล้านเหมือนกัน ก็เลยนอกครู ถ้าจะไม่นอกครูประเดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นหัวล้านไม่ปฏิบัติตามครู ครูหัวล้าน ก็เลยต้องเกะกะ เมื่อเกะกะก็เลยไปช้า ความจริงการไปช้าดีกว่าการไปเร็ว เพราะการไปเร็วไม่เห็นข้างทาง ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะหาว่า หมอนี่พาเที่ยวดูไม่ครบ

เอาละ ต่อจากนี้ไปขอออกเดินทางกัน การเดินทางไปเมืองนรกไปยากเหมือนกัน หมายความว่า ถ้าคนที่ได้ฌานก็ต้องทรงฌาน ๔ แล้วก็ทรงมโนมยิทธิ นี่พูดกันถึงว่าไม่ได้อภิญญา ๖ นะ

ถ้าหากว่าท่านได้อภิญญา ๖ แล้วไม่ยาก สำหรับพวกที่ได้วิชชาสามแก่ขึ้นไปนิดหนึ่ง วิชชาสามอย่างแก่ ได้แก่ มโนมยิทธิด้วย เรียกว่ามีอภิญญาติดหางเข้ามาหน่อย ก็เข้ามโนมยิทธิถอดร่างกายใน ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า กายซ้อนกาย หรือ กายในกาย ที่เคยพูดมาแล้วในมหาสติปัฎฐานสูตร ถอดร่างอันนั้นแหละออกจากกายเนื้อแล้วก็ออกเดิน เดินไปทางไหน

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพตามกระผมมา ความจริงเวลานี้ผมไม่ได้เดินไป ไม่เอากายในไป ไม่ได้เอากายนอกไป เอาปากไป ไปได้ยังไง? ไปตามตำรา เขาเรียกว่าไปตามพระไตรปิฎก หรือว่าไปตามแบบท่านอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านพูดไว้ ไปตามนี้ไม่ยากจน จะหาหนังสืออ่านบ้างก็ได้ หาพบก็พบ ไม่พบก็แล้วไป ถ้าไม่พบก็จะเล่าให้ฟัง ฟังต่อไป

เมื่อตั้งท่ากันเรียบร้อยแล้ว เตรียมรถเตรียมราเสร็จแล้วก็ออกเดินทางออกจากโลกนี้ มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก คอยฟังให้ดีนะ มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก มีทางถนนใหญ่ขาวโพลน แลดูสะอาดจะว่าเหมือนสีขาวทาก็ไม่ใช่ ใหญ่กว่า เรียบร้อยกว่า ดีกว่าถนนชั้น ๑ ในเมืองมนุษย์ เป็นทางใหญ่เดินไปสักครู่หนึ่ง ความจริงพวกที่เขาได้ฌานเขาเดินไม่นานหรอก เพียงแต่หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็ถึง

นี่เราค่อย ๆ ย่องกันไปนี้ เราไปกันช้า ๆ ประเดี๋ยวจะไม่เห็นอะไร เดินไปสักครู่หนึ่งจะถึงทาง ๔ แพร่ง มองไปข้างหน้าเห็นทางใหญ่ขาวลาดลง แล้วมองไปทางซ้ายเห็นเป็นเนินขึ้นน้อย ๆ เป็นเนินขึ้น ทางขาวใหญ่เหมือนกัน มองไปทางขวาเป็นทางชันขาวใหญ่เหมือนกัน แล้วมองมางทางหลังก็เป็นทางเดินที่เราไป

ที่ตรงนั้น มีเทวดาอยู่ ๑ องค์ ยืนยามอยู่ พระที่ท่านนิพพานท่านชอบเรียกว่า เทวดาอิน ที่เรียกว่าเทวดาอินนี่ ไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นพระอินทร์ ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริง สมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านเป็นพระ ชื่อว่า หลวงตาอิน

เมื่อสมัยเป็นพระ ท่านได้ฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาตายลืมเข้าฌาน เรียกกันว่า ตายนอกฌาน ไม่ใช่นอกชานกุฏินะ เรียกว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะเฝือ เมื่อเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌาน ตายก็ไม่ได้ไปเป็นพรหม ตายนอกฌานแบบนี้เขาก็จับไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง

อันนี้พระที่ได้ฌานสมาบัติท่านหนึ่ง ชื่อว่า อาจารย์ฉัตร องค์นี้เก่งมาก เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเหมือนกัน แต่เป็นรุ่นพี่ ท่านบอกว่าเวลาจะไปละก็ ไปพบกับเทวดาองค์นี้ แกจะถามว่า "ไปเลยหรือว่ากลับ?"

คำว่า ไปเลย ก็หมายความถึงว่า ตายไปแล้ว ถ้าหากบอกว่า กลับ ก็หมายความว่า ถึงว่าพระที่ได้ฌาน หรือท่านที่ได้ฌานไปแล้วต้องกลับ ก็รายงานบอกว่ากลับ

"จะไปทางไหน?" เขาถาม
จะไปนรก หรือว่าจะไปสวรรค์ หรือจะไปพรหมโลก ก็บอกเขา เขาจำเอาไว้ เวลาใกล้สว่างถ้ายังไม่กลับเขาจะไปตามบอกว่า

"เวลานี้ ใกล้สว่างแล้วครับ นิมนต์กลับได้" นี่หน้าที่ของเทวดาอินเป็นอย่างนี้

ตานี้ เทวดาอินแกยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าพวกเราผ่านไป ถ้าไปแบบช้า ๆ นะ แกก็จะถาม ถ้าไปเร็วปรื๊ดปร๊าด แกก็จะถามไม่ทัน แกบอกว่าพวกนี้เสียมรรยาท มรรยาทเลวไม่เคารพต่อพระภูมิเจ้าที่เทวดายาม ก็ว่ายังงั้น แกว่าพวกมนุษย์นี่น่ะ โดยมากมรรยาทไม่ค่อยดี แม้จะเป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม บางทีไม่มีมรรยาท ผ่านมาตรงนี้น่าจะคุยกันก่อน แต่ไม่ใคร่จะมีใครคุยหรอก ปรื๊ดปร๊าด ๆ แล้วก็ไปเลย

นี่พูดไปยังงั้นเองนะ รู้จักแกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบละ ก็ว่ามันส่งไปยังงั้นแหละ เป็นธรรมดา

นี่จำได้แล้วใช่ไหมว่า เทวดาองค์ที่ยืนข้างหน้านั่น ทาง ๔ แพร่ง ถ้าไม่เห็นก็นึกเอาเองก็แล้วกัน นึกว่าเห็นเป็นเทวดาที่มีเครื่องทรงสีแดง ผ้าที่นุ่งก็มีพื้นสีแดง เสื้อที่ใส่ก็มีพื้นสีแดง บนหัวบางทีก็โพกผ้าสีแดง บางทีก็สวมมงกุฎ ผ้าที่นุ่ง เสื้อที่ใส่ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ขาวแพรวพราวไปหมด รูปร่างสง่าผ่าเผยสวยสดงดงามบอกไม่ถูก คนที่ว่าสวยนี่มนุษย์ทาบไม่ติด เทวดาไม่มีแก่ มีแต่หนุ่ม ยืนยิ้มด้วยความใจดี ถ้าเวลาเห็นพระผ่านไปมักจะยกมือไหว้แสดงความเคารพ ถ้าเป็นฆราวาสก็จะกล่าววาจาเป็นสัมโมทนียกถา คือ วาจาที่ไพเราะ น่าฟัง นี่เป็นจริยาของเทวดาอิน หรือเทวดาหลวงตาอิน หลวงตาอินนี่แกเป็นเทวดาแล้วแกชื่อว่ายังไงก็เป็นเรื่องของแก ไม่มีใครเคยถาม ถ้าถามแกก็บอกว่า สมัยก่อนแกเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน แกบอกเท่านั้น

นี่เป็นอันว่ารู้แล้วนะ ว่าทางสี่แพร่ง เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หันไปทางซ้ายเป็นทางขึ้นจุฬามณีเจดียสถาน เป็นทางใหญ่ขาวโพลน หันไปมองดูทางขวา เป็นทางชันไปพรหมโลก มองลงไปข้างหน้าเป็นทางใหญ่ลาดลงนิด ๆ ค่อย ๆ ลาดลงเป็นทางลงนรก

ทีนี้ วันนี้เราจะไปทัศนาจรเมืองนรกกัน เริ่มต้นนะ เริ่มต้นไปเมืองนรก ต่อจากนี้ไปก็พากันลาเทวดาอินเสียก่อน ลาแล้วหรือยัง? ลาหรือไม่ลาก็ช่าง เดินทางต่อไป

คราวนี้เราค่อย ๆ เดินกันมาถึงที่สุดของโลก เรียกว่า อันตะหรือโลกันตะ มองไปทางซ้ายมือ นั่นเป็นแดนของสวรรค์ ที่เรายืนอยู่นี้เป็นแดนของมนุษย์ มองไปข้างหน้าเป็นแดนของเมืองนรก ระหว่างนั้น มองไปทางซ้ายมือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ ใหญ่มหาศาลประมาณมิได้

ภายในภูเขาเป็นถ้ำใหญ่มาก ในนั้นมีความเย็นบอกไม่ถูก ทรมานสัตว์ด้วยอำนาจความเย็น แล้วก็ภายในถ้ำมีน้ำแปลก เป็นน้ำกรด มีน้ำกรดที่มีความแรงมากเย็นเฉียบเหมือนกัน สัตว์ที่อยู่ในนั้นมีแต่ความมืด หาแสงสว่างไม่ได้ ไต่อยู่ในข้าง ๆ ถ้ำ หินก็คม เป็นกรดบาดตัวจนเลือดโชกโชน สัตว์ในนั้นไม่มีแสงสว่างจะมองกัน ต่างคนต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว


เวลาไต่ไปพบเข้าก็คิดว่าเป็นอาหารกัดกินกัน ปล้ำกันไปปล้ำกันมาในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำกรดก็ทำลายเนื้อหนังหมด เหลือแต่กระดูก แสบก็แสบ เจ็บก็เจ็บ หนาวก็หนาวเย็นเฉียบ ในที่สุดเมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูก ก็ประกอบกันเป็นร่างขึ้นมาใหม่ทันที ต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้ ไต่ขึ้นมาใหม่ แล้วมาเกาะอยู่ข้างเขาหรือเรียกว่าข้างถ้ำ จัดว่าเป็นกำแพงถ้ำก็ได้


นรกอันนี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เรียกกันว่า โลกันตนรก ไม่ทราบว่าบาปอะไร ในตำราท่านไม่ได้เขียนไว้ ท่านบอกว่าเป็นบาปพิเศษ พ้นจากที่นี้แล้วจึงไป อเวจีมหานรก ไปขึ้นต้นจากอเวจีมาก่อน แสดงว่าหนักกว่าอเวจี


โลกันตนรกนี้ ไม่มีอายุ เรียกว่าหาอายุไม่ได้ ทรมานไปจนกว่าจะถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดของกรรมแล้ว จึงจะไปอเวจี จัดว่าเป็นนรกสำคัญที่สุดนะ นรก ๘ ขุม แต่ทว่าถือว่าเป็นนรกขึ้นต้น คือ มันแย่เหมือนกัน

เอ้า เดินทางกันต่อไป คราวนี้ออกจากโลกมนุษย์แล้ว บรรดาท่านผู้ฟังโปรดทราบ นรกที่เขาบอกว่า เจาะในดินลงไปกี่แสน ๆ โยชน์น่ะ ไม่จริง เป็นเรื่องปรัมปราของคนที่ไม่เคยเห็น

อาตมาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นนรกนา ว่ากันไปตามที่เห็นอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า ก็เรียกว่า โลกนรกไม่ใช่อยู่ใต้ดิน ไม่ใช่ว่าคุดอยู่ใต้ดิน คนจะลงนรกต้องดำดินไปลงละก็ไม่มีใครลงหรอก พูดเพ้อเจ้อกันส่งเดชไป เคยฟังพระเทศน์เหมือนกัน เทศน์ไม่ถูก

หลวงพี่ถ้าเทศน์แบบนี้ละก็เทศน์ไม่ถูกนะจะบอกให้ นรกไม่ใช่อยู่ใต้ดินนา มันมีโลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก เรียกว่ามี ภูมิอีกภูมิหนึ่ง คือว่า มีแดนต่างหากกว้างใหญ่ไพศาลมาก แล้วก็มีคนถามว่าเวลาคนตายไปแล้ว พวกเทวดาหรือพวกสัตว์นรกนี่นะ แยกกันหรือเปล่า? พวกเจ๊ก พวกฝรั่ง พวกมอญ พวกลาว พวกแขก มีนรกพิเศษหรือเปล่า?

ก็ขอตอบว่า ไม่มีนรกพิเศษ พระพุทธเจ้าไม่เคยบอก เป็นนรกอันเดียวกัน เรามาแยกชาติ แยกประเทศกันเฉพาะในเมืองมนุษย์ ยามที่รับผลของความชั่วหรือความดีไม่มีการแยกกัน รวมกันหมด ไม่มีแขก ไม่มีฝรั่ง ไม่มีลาว ไม่มีมอญ เป็นสัตว์นรกธรรมดา ๆ เหมือนกัน เป็นเทวดาเป็นพรหมประเภทเดียวกัน ภาษาที่พูดที่ใช้ก็เหมือนกัน รวมความว่าไม่ได้แยกประเภทเข้าไว้ เอาละ จำไว้เท่านี้

ตานี้ เดินออกจากดินแดนของมนุษย์สุดทางขวา เราก็มองไปข้างหน้า ถ้าหากว่าเราจะเลี้ยวซ้ายสักนิด จะเข้าสู่แดนเปรต ๑๑ จำพวก คือว่า เปรตที่มีกรรมหนัก เลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง เฉียง ๆ ไปหน่อย ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ

ถ้าเดินตรงเลยไม่เลี้ยวเราก็ไปสู่ยมโลกียนรก เป็น ๑๐ ขุม ตามที่กล่าวไว้

คราวนี้เราเลี้ยวเฉียง ๆ ไปทางขวาหน่อย เรียกว่า ทางตะวันออกเฉียงใต้ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม จำให้ดีนะ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม พระยายมตั้งสำนักงานอยู่ทางนั้น

สำหรับวันนี้ จะพาพระคุณท่านและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทแวะที่สำนักของพระยายมเสียก่อน ถ้าเราไม่แวะที่ตรงนั้นละก็ เขาจะหาว่าพวกเราไม่มีมรรยาท เพราะว่าเป็นดินแดนของผู้ครองเมืองนรก คือว่า พระยายมนี่นะ ครองเมืองนรก

ความจริงเชาเข้าใจกันว่าอย่างนั้น ที่แท้จริงแล้วพระยายมไม่ได้ครองเมือง เป็นแต่เพียงว่าไปนั่งเป็นผุ้พิพากษาคอยตัดสิน พากันเดินไป ก็ย่อง ๆ กันไปให้ดีนะ ข้าง ๆ ทางน่ะ มีของดีอยู่ มองไปทางซ้ายนิดซิ

เวลานี้ เรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินเลาะและมีทางขาวเส้นเล็ก ไม่ใหญ่เท่าทางเดิม ตรงดิ่งไปเหลียวดูทางซ้ายนิดซิ เราจะเห็นต้นไม้ยืนเป็นตับ

ที่ตรงนั้น เขาเรียกกันว่าอะไร ต้นไม้ต้นนี้แหละ เขาเรียกว่า ต้นงิ้ว หรือสิมพลีนรก สิมพลีนะ เป็นนรกต้นงิ้ว สำหรับต้นงิ้วนี่ เขาบอกว่าขึ้นตามสภาพกฎของกรรม ถ้ามีสัตว์นรกมาก ต้นงิ้วก็มาก มีสัตว์นรกน้อยต้นงิ้วก็น้อย ที่ใครบอกว่าต้นงิ้วไม่มี เขาเอาไปทำฟืนหมดแล้วนะ ระวังเขาจะคูณด้วยสอง เขาว่ายังงั้น

เอาละ เดินไป อย่าพึ่งแวะเลย นรกขุมนี้ค่อยแวะกันทีหลัง คงได้เที่ยวกันแน่ เดินไปก็มีอะไรผ่านตาอีกแยะ ยังไม่พูด เพราะจะมีเรื่องพูดตอนหลัง เราจะชมกันมาลำดับ พอเข้าไปถึงตรงนั้น จะพบบริเวณกว้าง เป็นผืนแผ่นดินที่ราบเรียบ มองไปข้างหน้า บริเวณกว้างนั้น มองดูให้ดี ๆ นะ

บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเห็นไหม? ข้างหน้าที่มองไป ก่อนที่จะถึงอาคาร ๓ หลัง มีคนยืนกันอยู่สะพรั่งนับหมื่น จะนับหมื่นหรือนับแสนก็ได้ แต่ว่าไม่เคยนับ ถ้าถามว่าเท่าไรแต่ก็ตอบไม่ถูก เยอะเหลือเกิน คนธรรมดา ๆ หน้าตาซีดเซียว แสดงถึงความเป็นทุกข์ยืนอยู่สะพรั่งคล้ายกับกองทัพใหญ่

แต่ในจำนวนนั้นก็มีคนรูปร่างใหญ่ ๆ สูงกว่าคนพวกนั้น พวกที่ยืนอยู่ก่อนอย่างสูงสุดก็เลยเอวนิดหนึ่ง คนตัวใหญ่ ๆ ถือหอก ถือง้าว ถืออาวุธเดินอยู่เกลื่อนกลาดเยอะแยะ ควบคุมคนพวกนั้น พวกที่ถือสรรพาวุธพวกนี้ เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือ เป็นผู้ควบคุมกรรม

ตอนนี้ยังไม่ถึงแดนนรก อย่าลืมว่าแดนที่พระยายมอยู่นั่นไม่ใช่แดนนรกจริง ๆ คือว่า อยู่ใกล้กับแดนนรก เป็นเขตของเทวดา เรียกว่าเป็นเขตของชั้นจาตุมหาราช

ทีนี้ มองไปอีกทีหนึ่ง อยู่ในกลุ่มคนทั่วไป เห็นอาคารใหญ่ ๓ หลัง หลังกลางใหญ่มาก ในที่นั้นเป็นบัลลังก์ คือ เป็นสถานที่ชำระความ ที่ตัดสินของพระยายม แล้วก็มองเลยนั่นออกไป ออกไปทางด้านทิศตะวันออกก็ดี ตะวันออกเฉียงเหนือก็ดี จะเห็นทะเลเพลิง มีเปลวไฟ มีกระแสไปพวยพุ่งขึ้นจับท้องฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลมาก หาที่สุดมิได้ นั่นคือ แดนนรกขุมใหญ่

นรกแต่ละขุมเราจะไม่พูดกัน ถึงไฟก็จงรู้ว่ามีไฟเป็นปกติ นรกขุมใหญ่ที่ไม่มีไฟไม่มี นี่เป็นตัวยืนนะ หรือเรียกว่าเป็นไก่รองบ่อน นรกแต่ละขุมน่ะ มีไฟเป็นไก่รองบ่อน พอเข้าไปแล้วก็ถูกไฟไหม้ ไฟนี้มีความร้อนแรงมาก แรงกว่าไฟในเมืองมนุษยืหลายแสนเท่า เรียกว่า ไฟนี้แรงกว่าในเมืองมนุษย์หลายแสน นับเป็นแสน ๆ เท่า มีความร้อนมาก เห็นแล้วหรือยัง?

นี่เราพากันทัศนาจรนะ เที่ยวดูกัน เห็นแล้วละก็ย่อง ๆ เข้าไปดูซิว่า เวลานี้พระยายมท่านทำอะไร แล้วท่านทั้งหลายจะได้รู้จริยาของพระยายม ว่าความจริงพระยายมราชที่เรากล่าวว่าท่านดุร้ายนัก จับคนลงนรก จริงหรือไม่จริง? เวลานี้ยังไม่พูด ไปดูกันก่อน

เอ้า.. ค่อย ๆ เดินมา ตามอาตมามา มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ไปทางด้านทิศใต้ เดินตามขอบเฉียดชายเขา เขายาวเหยียด ไม่รู้ว่ายาวถึงไหน เดินมานอกบริเวณแล้วเข้าไปในลาน ประเดี๋ยวเขาจะรู้ว่าคนนี้กินเหล้า คนนี้ฆ่าสัตว์ คนนี้ลักทรัพย์ คนนี้ประพฤติผิดในกาม คนนี้เคยโกหกมดเท็จให้เขารู้ ดีไม่ดี เขาจะจับให้อยู่เสียเลยนะ ระวังเถอะ

อ้าว เวลาที่มาเที่ยวเมืองนรกนี่ โยมจ่าพัว ชระเอม มาด้วยหรือเปล่า ถ้ามาละก็ มองดูให้ดีนะ เจ้าของตำรา มองดูให้ดี เดินหลีกเขา ประเดี๋ยวเขาจะจำเรื่องเก่า ๆ ได้ เขาจะเอาไว้เสียเลย จะลำบาก


เอ้า .. มาด้วยกัน เดินหลีกเขามาแล้ว เป็นเวลาพอสมควร ตรงนี้เป็นที่ว่างมีกลุ่มคนมาก ทางตรงด้านขวามือเป็นเขา ด้านซ้ายมือเป็นที่โล่ง มีทางใหญ่ มีอาคาร ๓ หลัง

เอ้า..ทุกคนซ้ายหัน หันไปทางซ้ายมือ ตามอาตมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็เดินตามทาง ตามอาตมามา พอเดินเข้ามาแล้วนะ ค่อย ๆ ย่องนะ อย่าเดินดังนัก ประเดี๋ยวผีจะตใจ เดินเข้ามา ๆ นี่ใกล้จะถึงแล้ว

อาคาร ๒ หลังทางซ้าย ทางขวาเป็นอาคารขนาดย่อม เป็นที่พักของพระยายมหลังหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือมีความสวดสดงดงามมาก แพรวพราววิจิตรตระการตา เป็นวิมานทองคำ มีเครื่องเพชรประดับแพรวพราว แล้วมีดงหญ้าเป็นที่ราบรื่นแล้วมีต้นไม้ดอก มีดงหญ้าเป็นแก้วประกายแพรวพราวสวยงามจริง ๆ ดูคนในขอบเขตของวิมานของพระยายม ไม่เห็นแต่งตัวเป็นสัตว์นรก แต่งตัวเป็นเทวดา เป็นพรหมกันทั้งนั้น ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็สวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส

มองไปด้านขวามือก็เป็นวิมานสวย ลดหย่อนลงไปหน่อยหนึ่งเป็นที่อยู่ของ เรียกว่า เจ้านายชั้นผู้ใหญ่รองพระยายมลงไป ที่เราเรียกว่า นายบัญชี นี่เขาก็มีวิมานสวยเหมือนกัน

ตรงไปข้างหน้าที่เราเดินมานี้เป็นสำนักของพระยายมเป็นอาคารที่มีความสวยสดงดงามมากใหญ่ตระการตา แต่ทว่าคนที่มีบาป ลงมามองไม่เห็นความสวยสดงดงาม เพราะกรรมชั่วมันปิดตา คนดีเท่านั้น คนที่มีบุญเท่านั้น ที่จะมองเห็นสวย

เอาละ เดินเข้าไปอีกสักนิด ใกล้จะถึงแล้ว มีบันไดข้างหน้า ระวังให้ดี ขึ้นให้ดี ประเดี๋ยวจะหล่นบันไดพลัดตกหกคะเมนไป นายนิริยบาลจะเชิญลงนรกไปเสียเลย ลำบาก พวกเราทุกคนที่มานี่น่ะ มีทุนอยู่แล้วนะ บารมีสำหรับที่จะลงนรกมีอยู่ด้วยกันทุกคน ระวัง ๆ ตัวไว้ จะเผลอ

ขึ้นบันไดมาแล้วเป็นชานใหญ่ มองเข้าไปมีม่าน ข้างนอกเป็นม่านสีดำ ผ่านม่านสีดำเข้าไป มีเจ้าหน้าที่รูดม่านให้ เขายืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ แล้วก็ขวามือ ๒ คน ผ่านม่านสีดำเข้าไป

คราวนี้ พบม่านสีแดงแล้วมีประกายเป็นทองและเงินแน่ะ เส้นด้ายเป็นทองและเงินแต่พื้นแดง พอเจ้าหน้าที่สองคนทางซ้ายและขวารูดม่านให้ ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านทองคำล้วน ๆ เข้าไปม่านที่ ๓ แล้ว ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านแก้วมณี ผ่านเข้าไปอีก อีคราวนี้ไม่มีม่านแล้ว ตรงนี้ไม่มีม่าน เป็นเก้าอี้มณีแพรวพราวไปหมด ตั้งเข้าไว้ ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ

เห็นไหม นี่เป็นที่สำหรับนั่งคุยกัน นั่งชมพระยายมตัดสินความ แต่พวกสัตว์นรกหรือคนที่เชิญมายืนเกลื่อน ๆ น่ะ เขาเข้าไปอีกทางหนึ่งเป็นทางต่ำราบ ไม่ผ่านม่านสีสวย ๆ ไม่ผ่านพื้น มีแต่ม่านสีดำ เวลาเข้าไปก็มีคนคุมเข้าไป

ประเดี๋ยวก่อน พวกเราทุกคนตามอาตมามา ไปนั่งที่เก้าอีกัน ไม่ต้องเกรงใจ ในนั้นมีเทวดาสำหรับรับแขกอยู่ห้องหนึ่ง ( ความจริงหลายห้อง ) แต่งตัวสวยมาก มีเครื่องประดับมีพื้นสีทอง และมีเครื่องประดับเป็นสีขาว ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้พระและคนทุกคน ถือว่าคนที่จะไปนั่นมีความดี

เอ..ที่เล่าให้ฟังนี้ ไปจริง ๆ หรือเปล่า? เปล่าหรอกนะ ไม่ได้ไปเอง ดูหนังสือมาเล่าให้ฟัง แล้วก็เอามาจากไหนเล่า มีเทวดา เทวดาน่ะ ก็บอกว่าอ่านหนังสือซิ หนังสือเขาเขียนไว้ยังงั้นนี่ ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ? ก็บอกแล้วว่าเวลาฟังแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อ แล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อฟังแล้วเชื่อเลยก็ไม่ดี เราไม่ได้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา หรือว่ายังไม่เห็น ยังไม่ถึง เราปฏิเสธ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน

เป็นอันว่า ไม่ดีทั้งสองอย่าง ในตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายรับฟังไว้ก่อน แล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งปฏิเสธ

เป็นอันว่า วันนี้ เรามาเห็นเทวดาสวยกัน วันนี้เราได้นั่งเก้าอี้แก้วมณี หันหลังไปทางด้านทิศตะวันออก หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก มองไปอีกทีทางขวามือ
โต๊ะกลาง คือ พระยายม โต๊ะด้านหน้าของเรา พระยายมนี่หันหน้าไปทางทิศใต้

ซ้ายมือของพระยายมราชเป็นนายบัญชีใหญ่

โต๊ะขวามือของพระยายมราชเป็นหัวหน้าเทวดาที่มารับคน

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชน จะมองดูอะไรต่อไป จะฟังพระยายมท่านพูดอะไรก็ฟังไม่ได้เสียแล้ว เดี๋ยวพันจ่าอากาศเอก กฤษณ์ บำรุงพงศ์ แกจะนั่งค้อนเอา เพราะเขาว่า แกเป็นหัวหน้าสถานี

เวลานี้ ก็หมดเวลาเสียแล้วนี่ ไว้วันพุธหน้าฟังกันใหม่ สำหรับวันนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านศาสนิกชนที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี

Copyright © 2001 by
Amine
30 ม.ค. 2545 00:27:52