ผู้ถาม : | "หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิดดี หรือก่อนวันเกิดดีคะ..?" |
หลวงพ่อ : | "ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่งเรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระ ท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้
ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้าง มีการเตรียมการไว้ในใจ ถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตายอานิสงส์ได้ทันที อย่าง สาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุกระดูกของพระอรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้าน ถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึง พอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวินมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า 1,000 เป็นบริวาร อย่างนี้เขาถือว่าเป็น อนุสสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็นจาคานุสสติ คิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้ นึกถึงพระสงฆ์ ก็เป็น สังฆานุสสติ ถ้าเราคิด จะทำบุญกับพระสงฆ์ แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธก็เป็น พุทธานุสสติ ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรง ๆ เท่านั้นเอง" |
ผู้ถาม : | "หลวงพ่อคะ แล้วอย่างทำบุญแค่เพียงเล็กน้อย เช่น การสร้างโบสถ์นี่นะคะ คือไม่ได้ทำทั้งหลังค่ะ ทำเฉพาะประตูไม้ เขามาเรี่ยไรก็ร่วมทำบุญไปกับเขาค่ะ อย่างนีบุญคงน้อยกว่าการทำบุญทั้งหลังใช่ไหมคะ..?" |
หลวงพ่อ : | "ถ้าเราทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างกุฏิ สร้างศาลา ทั้งหมดนี่เราไม่ได้ทำเต็มหลัง คือราคาไม่เต็มหลังแต่ว่าไม่ใช่เราได้นิดเดียวนะ เราก็ได้เต็มหลัง วิมานจะปรากฏเลย ถ้าเราได้มาโนมยิทธิจะสามารถไปเที่ยวดูได้" |
ผู้ถาม : | "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ" |
หลวงพ่อ : | "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล้กน้อย ก็แบบซื้อลอตเตอรี่ใบเดียวถูกรางวัลที่หนึ่งน่ะ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม
เขาเรียกว่า วิหารทาน อันนี้จัดเป็นบุญสูงสุด ตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก 32 คน ช่วยกันทำศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสำหรับลากไม้หนึ่งเชือก มีนายช่างหนึ่งคน เวลาตายไปแล้ว ท่ามฆมานพก็ไปเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก 32 คนก็ไปเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็น วิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลัง นี่เป็นเรื่องอานิสงส์นะ" |
ผู้ถาม : | "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ..?" |
หลวงพ่อ : | " "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซิคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียน
ของผู้ใหญ่ หนังสือเรียนของพระ หนังสือธรรมะต่าง ๆ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรมซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุดเป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้างโดยเฉพาะเทปคาสเซทที่ขายม้วนละ 25 บาท ถ้าเอาทุนจริง ๆ แล้วมันไม่พอ รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล 4 อย่าง 1. สร้างพระพุทธรูป 2. วิหารทาน 3. สังฆทาน 4. ธรรมทาน ทั้งหมดนี้ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก 50 สตางค์ เป็นอันว่าการทำบุญเอาแค่พอควรนะ แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกัน ไม่ต้องสร้างทั้งหลัง" |
ผู้ถาม : | "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์จะต่างกันหรือไม่ขอรับ..?" |
หลวงพ่อ : | "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ก็เหมือน ท่านจูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ 2 จิตเป็นห่วงยาย
ที่บ้านไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ 3 ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวายแล้วประกาศว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่
จึงนำผ้าสาฎกและทรัพย์สินต่าง ๆ มาให้มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่ง ต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้นจะได้เป็น มหาเศรษฐี ถ้าถวายยามที่ 2 จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ 3 จะได้เป็นคหบดีใหญ่ ที่ได้น้อยเพราะถวายช้าเกินไป" พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผลความดีในศาสนาของเรานี้จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" คือ เร็ว ๆ ไว ๆ" |
กลับสู่ด้านบน |
Copyright © 2001 by |
Amine |
01 ก.พ. 2544 22:24:31 |