อานิสงส์การถวายสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน

เนื้อนาบุญที่ดี
ผู้ถาม :"เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตรบ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหมคะ..?"

หลวงพ่อ :"บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่เลื่อมใส เราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น เนื้อนาบุญ
ถ้าหว่านพืชลงไปในนาลุ่มน้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไปน้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะสม ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร
แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จริง ๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะ ความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานนี้มันตัดความสุขของเจ้าของ หากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดวความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะ ความโลภ เป็นก้าวหนึ่ง ที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำ มันเป็น จาคานุสสติกรรมฐาน
จาคานุสสติกรรมฐานนี่ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวัน ๆ นี่นะ จิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น จาคานุสสติกรรมฐาน และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทาน ถ้าพระองค์ไหนมีจริยาไม่สมควร เราไม่ให้มันก็ไม่แปลก การถวายสังฆทานมันก็มีผล สำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง"

ผู้ถาม : "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอายไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไรจะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ..?"

หลวงพ่อ : "การทำบุญทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา 2 คน แกหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฆบาตแกก็บอกใส่บาตรดีกว่า
พระนักเทศน์เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม.." ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็นทาสทาน"

ผู้ถาม :"ทาสทานเป็นยังไงครับ"

ทานมี 3 ประเภท
หลวงพ่อ :"คำว่า ทาสทาน หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินเราใช้ เวลาที่เราใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลว
ถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้
ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทานเขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามี เขาแปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผลเราก็จะได้ของเลิศ
ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดุตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ 80 โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี่ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้ว ใกล้จะขาดแกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกินเม็ดสวย ๆ ก็กินไม่ได้ต้องเป็นข้าวหัก หรือปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นมหาเศรษฐ๊ได้นะ"
หลวงพ่อปรารภเพิ่มเติมว่า
หลวงพ่อ : "การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดี ๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้
การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว
และการให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลวอานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้าง อันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร เวลาจะให้ท่านวางกฎไว้ดังนี้
1.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทานนี่ซวย เวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริง ๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลส ถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์
2.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริง ๆ นะ ถ้าถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องห่วง ผู้รับบริสุทธิ์แน่ พระองค์ไหนถ้าไม่บริสุทธิ์ กินแล้วตกนรก
3.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญ เป็นของที่เราหามาได้โดยชอบธรรม
อย่างนี้ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามมีอานิสงส์มาก อานิสงส์คือความดี ความชื่นใจมาก
ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ความดีก็ลดน้อยลง
แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่ง จะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้
รวมความว่า ต้องบริสุทธิ์ 3 อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่งอานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี"

เจตนาครบ 3 กาล
หลวงพ่อ : "แต่ว่าการให้ทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประเภทหนึ่ง ต้องให้ครบ 3 กาล จึงจะมีอานิสงส์สูง คือ

1. ก่อนที่จะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
2. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
3. เมื่อให้แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส

มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จนลง ขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกิน ต้องกินปลายข้าว แต่ว่าศรัทธาของท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่า ข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดองเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ทำเป็นกับมาถวายพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้า
"เวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานมีความรู้สึกอย่างไร..?"
ท่านบอกว่า "ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส ดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อน มหาเศรษฐี ลูขัง วา ปะณีตัง วา" หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง 3 กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศ มีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน
ถ้าหากว่าเราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานอานิสงส์สูงมาก รองจากวิหารทาน"

ผู้ถาม :"หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้าบังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไป เพราะความจำเป็นอย่างนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ..?"

หลวงพ่อ :"มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"

ผู้ถาม :"ขนาดไหนครับหลวงพ่อ..?"

หลวงพ่อ :"ตายแล้วเป็นเทวดา นี่เป็นจริง ๆ นะ"

ผู้ถาม :"ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ"

หลวงพ่อ :"เดี๋ยวก่อน..เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้าใช่ไหม พร้อมกับพระสงฆ์ ก็มีพราหมณ์คนหนึ่งบอกว่า
"อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์เกรงจะเป็นบาป"
พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า"
เขาบอกว่าเปล่า เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ" แล้วท่านก็ตรัสต่อไป "ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือ กินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ"

การทำบุญมี 3 วิธี

หลวงพ่อ :"อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสปท่าเนทศน์ไว้อย่างนี้คือ
"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่นอขาดบริวารสมบัติ"
"ถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไปมีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจน"
"ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"
นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่าเขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องของเขา คือ แนะนำเขา ว่าเวลานี้เราทำโน่นทำนี่ จะทำบุญร่วมด้วยไหม .. ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยก็อย่าไปโกรธ เราถือว่าเราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด"

ผู้ถาม : "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนบอกว่า การถวายสังฆทานควรมี พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวี และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบ ตามนี้ไหมคะ..?"

หลวงพ่อ : "ความจริงเราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทาน ในที่บางแห่งใช้เครื่อง 5 เครื่อง 8 น่เป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่ง น้ำเพียงช้อนหนึ่งแล้วถวายไป บอกว่า เป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือว่าควรทำแบบนี้เพราะว่า ผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตามมาขอกันแบบนี้เรื่อย คือขอเหมือนกัน ที่ฉัน แนะนำเขาตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง..?" เขาบอกว่า
1. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือถ้าเป็นเทวดามีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
2. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
3. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

ผู้ถาม :"ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ..?"

หลวงพ่อ :"อานิสงส์ตามมา คือ
1. มีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัว นี่อำนาจพุทธานุภาพนะ
2. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยากเพราะอาศัยทาน
ตัวอย่าง นางวิสาขา เป็นคนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อนได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูป และปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรุ) จึงเป็นปัจจัยได้ เบญจกัลยาณี คือมี ความงาม 5 ประการ
และนางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา 16 โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเป็นผู้ชายออกบวชในสำนักพระพุทธเจ้า เมื่อท่านตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ ก็จะได้ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ลอยลงมา สวมตัวทันที
ทั้งนี้ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จังเป็นปัจจัยให้นางวิสาขาเป็นทั้งคนสวยคนรวย และเป็นคนที่มีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ"

ผู้ถาม : "ทีนี้ก็มีคนสงสัยเรื่องสังฆทานครับ ถามว่าสังฆทานที่มาถวายหลวงพ่อ แล้วก็ ผาติกรรมไป แล้วก็กลับมาถวายหลวงพ่ออีก ครั้งหนึ่ง อานิสงส์จะสมบูรณ์หรือไม่อย่างไรครับ..?"

หลวงพ่อ : "เท่ากันแหละ เขาเอาแบ๊งค์มาถวายก็เป็นสังฆทาน ถ้าอยากจะมีของ ไปรับเอามาก็เท่ากัน"

ผู้ถาม :"ซื้อมาเองกับผาติกรรมนะครับ..?"

หลวงพ่อ :"แต่อย่าลืมว่าสตางค์ของใคร นั่นมันเป็นสัญลักษณ์ เป็นนิมิตออกมา มีของสักหน่อยใจมันสบายกว่าไม่มีของใช่ไหม ถ้าเจตนาให้เงินมันเป็นอะไรมันก็เป็นไปตามนั้น และก็ตั้งใจเฉย ๆ เกรงว่าไม่เป็นไปตามน้นให้มันมีของตั้งอยู่ ถ้าต้องการจีวรต้องการพระพุทธรูปก็เป็นนิมิตจับ
อย่าลืมว่าอานิสงส์ของสังฆทาน อะไร ๆ ก็ต้องไปดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย สังฆทานกับวิหารทาน จุดแรกต่ำที่สุดคือ ดาวดึงส์ หลังจากนั้นจะไปเลวกว่านั้นก็ตามใจ แต่อย่าลืม นะ ดาวดึงส์นี่เข้ายากนะ ไม่ใช่เข้าง่ายนะ นอกจากทำบุญขั้นสังฆทานและวิหารทานแล้ว ถ้าเป็นบุญเล็กน้อย ก็ต้องเป็นการทำบุญตัดชีวิต
คำว่า "ทำบุญตัดชีวิต" ก็หมายความว่า ถ้าเราเดินทางไป เอาข้าวไปจำกัด ขณะกินข้าวอยู่ก็เห็นสุนัขเดินมา หรือไก่เดินมา นึกสงสารมัน "ให้มันกินหน่อยเถอะวะ"อย่างนี้ ไปดาวดึงส์ก็ได้"

กลับสู่ด้านบน

Copyright © 2001 by
Amine
01 ก.พ. 2544 21:32:10