โดยเสด็จพระราชกุศล .. ๑

พิมพ์โดย คุณสมชายและพี่สาว

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นลูกศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ป่วยมาก มีอาหารเพลียเป็นพิเศษ นั่งที่ไหนก็อยากจะหลับ พอดีเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ จะลงศาลาก็ลงไม่ไหว เทศน์ก็เทศน์ไม่ไหว จะเดินก็เดินไม่ไหวความตายมันคลานเข้ามาใกล้เต็มทีชีวิตเป็นของไม่เที่ยงแต่ความตายเป็นของเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าเทศน์กับเปสการีท่องอยู่ทุกวัน จำอยู่ทุกวัน มีความรู้สึกว่า ไม่ช้านักชีวิตนี้มันก็ต้องตาย ถ้าความตายมันเข้ามาถึงบรรดาท่านทั้งหลายสิ่งที่ต้องการนั่นก็คือพระนิพพาน ใครเขาจะหาว่า บ้า ๆ บวม ๆ ก็ตามใจ บางท่านก็บอกว่า พระนิพพานมีสภาพสูญ ตามตำราต่าง ๆ ก็บอกว่ามีสภาพสูญแต่ทว่าเมื่อปี ๒๕๐๐ ปีนั้นป่วยมาก ต้องเข้าโรงพยาบาลวันแรก มีการอืดเสียดหนัก ตอนหัวค่ำ วันที่สอง ก็มีการอืดเสียดหนักตอนหัวค่ำ พอวันที่สาม จึงสั่งจ่าพยาบาล ให้ไขเตียงให้นั่ง ได้เตรียมตัวว่าวันนี้ถ้าจะตายก็ขอตายด้วยกำลังสมาธิและวิปัสสนาญาณ เวลา ๑ทุ่มก็เริ่มทำสมาธิ คิดว่าประมาณ ๒ ทุ่มอาการอืดเสียดมันมาอีก มันมา ๒ ทุ่มทุกวัน ๒ วันมาแล้ว แต่ว่าวันนี้แปลก คำว่าวันนี้หมายถึงวันนั้นนะ วันนั้นแปลก แทนที่จะมีอาการอืดเสียดกลับมีใจปลอดโปร่งสบายมาก มีอารมณ์เป็นสุข มีอารมณ์แช่มชื่นปลอดโปร่งปลดปล่อยทุกอย่าง การป่วยคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นการป่วยที่แปลกที่สุด พอร่างกายเข้าถึงโรงพยาบาลอารมณ์ก็วางทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรต้องการ ทรัพย์สินต่าง ๆ ทั้งหมดไม่นึกถึง ญาติพี่น้อง ผู้ที่คบหาสมาคมไม่นึกถึง ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด จิตมีอารมณ์เฉยสบาย คิดอยู่อย่างเดียวว่า แม้ร่างกายสักครู่หนึ่งมันก็อาจจะตาย ถ้ามันตายเวลานี้ก็เป็นเรื่องของมัน ไม่เสียดายร่างกาย อารมณ์ใจเป็นสุขใครไปใครมา ก็คุยกันตามปรกติ บางคนเขาคิดว่าไม่ป่วย แต่ความจริงมันเดินไม่ค่อยไหว แต่ว่าเวลานั้นปรากฏว่าเวลา ๒ ทุ่มตรง เป็นเวลาที่อาการอืดเสียดมันจะมา แต่แทนที่มันจะมา กลับกลายเป็นท้าวสหัมบดีพรหมท่านมา

ท่านมาในลักษณะร่างกายของท่านเต็มอัตรา แต่งตัวสวยมากทรวดทรงสวย แสงสว่างมากทั่วจักรวาล ท่านมาถึงท่านก็ยืนบอกว่า คุณ .. พระพุทธเจ้า ทรงรับสั่งให้เข้าไปเฝ้า ก็ถามว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้า อยู่ที่นิพพาน ท่านให้คุณไปพบท่าน ก็บอกท่านว่า นิพพานอยู่ที่ไหนอาตมาก็ไม่ทราบ ถ้างั้นท่านพาไปก็แล้วกันอาตมาจะตามไป ท่านก็ออกหน้าไป แทนที่ท่านจะพาไปสวรรค์ ไปพรหมโลกก่อน ท่านพาไปดูนรก ตั้งแต่โลกันต์ ตั้งแต่โลกันต์มหานรก แล้วก็อเวจี แล้วก็เรื่อยมาถึงขุมที่ ๑ เรื่อยขึ้นมาตามลำดับถึงแดนเปรต อสุรกาย แดนสัตว์เดียรฉาน จนกระทั่งมาถึงแดนมนุษย์ ถึงแดนเทวดา ถึงแดนพรหม พอถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็ปรากฏว่า ถึงวิมานของท่าน ท่านก็บอกว่าหน้าที่ของผมที่จะพามา มีแค่นี้ ต่อไปจากนี้ เป็นแดนของนิพพานก็เป็นหน้าที่ของท่านแต่ผู้เดียว

ตอนนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเรื่องแปลกขณะที่ท่านพาไปตั้งแต่โลกันต์นรกขึ้นไปกำลังมันดีมาก เรี่ยวแรงดีไม่รู้สึกเหนื่อย เดินชมด้วยความเพลิดเพลิน พอมองเห็นนรก ก็นึกในใจว่า แต่ละขุมเราไม่มา พอมาถึงแดนมนุษย์ ก็คิดว่าแดนมนุษย์นี่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากมากมีความวุ่นวายมาก เราไม่มา ไปถึงแดนสวรรค์ ไปถึงแดนพรหม ก็นึกว่าท่านทั้งหลายมีความสุข แต่ความสุขของท่านไม่นาน ไม่ช้าก็จุติ เราไม่มา แต่ไอ้การคิดว่าไม่มานี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ต่อไปท่านก็บอกว่า นี่ทางไปนิพพาน ท่านชี้ให้ดูเป็นทางที่ราบเรียบเหมือนแก้วผสมทอง แพรวพราวเป็นระยับ ก็ถามว่าทำไมท่านไม่พาไป ท่านบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าที่ของท่านจะต้องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเอง ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน นิพพาน เขาบอกว่าเป็นแดนสูญ แต่ท่านสหัมบดีพรหมกลับบอกว่า เป็นแดนนิพพาน ก็แปลกใจ ก็ตั้งใจเดินไปพอพ้นเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ บรรดาท่านพุทธบริษัท ร่างกายมันอ่อนเพลียมาก เหมือนคนรื้อไข้ เดินโผเผซวนเซใกล้จะล้ม แต่ก็ต้องพยายามไปเพราะถือว่า คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง เรื่องนี้ถือมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง ก็ไปพบบริเวณวัดวัดหนึ่ง มีกำแพงเหมือนกำแพงแก้วผสมทอง สวยงามมากมีวิมานอยู่หน้าประตูใหญ่สี่วิมาน ที่สี่วิมาน มีพระอรหันต์ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่านิพพานมีอยู่ คิดว่าเป็นพรหม ท่านพระอรหันต์ ๔ องค์ ท่านก็ลุกขึ้นมายกมือไหว้ ก็นึกว่าพรหมไหว้ก็รับไหว้ท่าน ถามท่านว่าที่นี่ วัดอะไร ท่านก็เลยบอกว่าเป็นเรื่องของท่านจะพึงรู้เอง ก็เดินหลีกท่านไปเข้าไปภายใน ไปเดินรอบ ๆ บริเวณร่างกายมันก็จะล้ม เห็นสวยสดงดงาม ดูพื้นก็พื้นเป็นทองผสมแก้ว กำแพงก็เหมือนทองผสมแก้วมีกุฏิสามหลัง หลังหนึ่งใหญ่ยาวมากคล้ายกับวิหาร ๑๐๐ เมตร อีก ๒ หลัง ด้านหน้าเหมือนกับมณฑปหลวงพ่อปานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ก็ตั้งอยู่ชิดกันไม่ห่างกันแบบนั้น เป็นบริเวณกว้าง อีกด้านหนึ่งก็มีหอระฆัง หอระฆังก็เป็นแ ก้วผสมทองเหมือนกันหมด ระยิบระยับ สวยสดงดงาม บอกไม่ถูก มันเพลิดเพลินเจริญใจมาก เดินไปปรากฏว่า ในบริเวณนั้นไม่มีใครเลย คนสักคนหนึ่งก็ไม่มีพอเดินไปถึงหอระฆังก็เพลียต้องล้มกายลงนอนบนพื้นของหอระฆัง คิดว่าไปไม่ไหว นอนตรงนี้แหละ

ร่างกายที่อยู่ข้างล่างมันจะเป็นจะตายก็เรื่องของมัน เป็นอันว่าพอนอนหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ก็พอดีเห็นพระองค์หนึ่งเดินมาท่านแต่งกายเหมือนพระธรรมดาแต่ว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ สว่างมาก สวยสดงดงามมาก เหมือนกับพระจันทร์ทรงกลด ภาพนี้เคยเห็นเป็นปกติก็ทราบว่านั่นคือพระพุทธเจ้า ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เห็นท่านมาทางกำแพงไม่เข้าทางประตู ก็คิดว่าท่านจะต้องโดดข้ามกำแพง แต่ความจริงเมื่อถึงแล้วท่านไม่ต้องโดด กำแพงมันขาดออกแล้วหดเข้าไปเป็นช่องให้ท่านให้ท่านเดินเข้ามา พอท่านผ่านมาแล้วกำแพงก็ติดตามเดิม พอมาถึงท่านก็นั่งใกล้ ๆ พอท่านนั่งก็เลยลุกจากที่ที่นอน มานั่งข้างล่างกราบท่าน ท่านถามว่าอยากจะมานิพพานไหม ก็ตอบว่า นิพพานมีสภาพสูญ ท่านถามว่าที่นี่ เขาเรียกอะไร? ตอบว่า ไม่ทราบ ท่านถามถึงเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น รู้จักไหม ก็ตอบว่า ผ่านมาหมดแล้วเมื่อเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ เขาเรียกอะไร ก็บอกว่า ตำราไม่มีท่านก็เลยบอกว่า ที่นี่เรียกว่านิพพาน

เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการอ่านละเอียด รู้รายละเอียด ก็ขอให้ดู หนังสือประวัติหลวงพ่อปานก็แล้วกันนะที่นี่มีเวลาน้อย นี่หมดเวลาไปตั้ง ๑๐ นาทีกว่าแล้ว ก็ขอย้อนหลัง ว่านิพพานพบมาตั้งแต่สมัยนั้น และตั้งแต่วันนั้น มาจนถึงวันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจไม่เคยพลาดพระนิพพาน ไปนิพพานทุกวัน ถ้าถามว่าไปวันละกี่ชั่วโมงก็บอกว่าไปทุกวัน วันละหลายครั้ง ตามวาระที่จะพึงมี ที่นี้ก็มานั่งคุยกันก่อน ที่มาพูดก็เพราะว่าพูดถึงเรื่องนิพพาน

เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๕ วันนั้นก็นอนนึกถึง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าท่านมีอายุ ๖๐ ปี ใคร ๆ เขาก็ทำบุญกันก็อยากจะบอกบุญ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ทุกคนตั้งใจบำเพ็ญกุศล ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ แก่คนทั่วไป ทั้งคนและสัตว์ ให้มีความสุข เช่น มีการอนุรักษ์สัตว์ ปล่อยปลาให้เป็นอิสรภาพ สร้างสถานที่ รวมความทุกอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้วว่าทั้งสองพระองค์นี่ทำบุญกว้างขวางมาก ยากที่คนอื่นจะพึงทำได้ อย่างพวกเราอย่างเก่งก็ซื้อปลามาปล่อย ในบ่อบ้าง ในสระบ้าง ถ้าจะปล่อยในแม่น้ำก็กลัวคนจะกิน นี่ท่านทำทุกอย่าง ก็คิดว่าอยากจะให้ทุกคนทำตามท่าน แต่ก็มาสะดุดใจอยู่นิดหนึ่งว่าการปล่อยปลาให้ลงไปในแม่น้ำ ถ้าบังเอิญ คนเขาจับปลากิน เราจะบาปไหมที่คิดว่า เราจะบาปไหม เพราะว่าเราปล่อยลงไปเขาก็จับกิน ต่อมาก็ตั้งใจคิดว่า เราตอบเองไม่ได้ ต้องอาศัยพระ พระตอบเป็นของแน่นอนมาก จึงรวบรวมกำลังใจ ไปที่เทวสภา พอไปถึงก็ขอบคุณบรรดาเทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหลายที่ท่านช่วยเหลืองานทุกอย่าง งานทุกประเภทท่านช่วย ก็ไปไหว้ท่านที่มีพระคุณต่าง ๆ มีบิดามารดาในอดีตเป็นต้น หลังจากนั้นแล้ว เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็กราบ แต่ความจริงไม่ได้กราบอาตมา ท่านกราบแล้วท่านมองหน้าเลยศีรษะอาตมาขึ้นไป อาตมาก็หันไปดูข้างหลัง เห็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมมาประทับอยู่บนแท่นสำหรับเทศน์ ไม่ทราบว่าท่านมาเมื่อไร จึงหันไปกราบท่าน หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ว่า บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดาก็ดีที่เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด จงอย่าประมาทในชีวิต คิดว่าตนเองจะไม่จุติ จงอย่าคิดว่าความเป็นทิพย์ทั้งหมดนี่จะเป็นสมบัติของเราตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทุกคนส่วนใหญ่มีความสุข แต่ว่าหลายท่านสร้างบุญกุศลต่อ แต่เทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ยังเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ลืมความเป็น ลืมความตาย เพราะเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ พอเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ในสวรรค์ เป็นพรหมมีความสุข ก็เลยเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ทุกองค์จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปกันคนละเยอะ ๆ ทำบาปมากกว่าบุญ บาปยังติดกายท่านอยู่ พอท่านพูดเท่านี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เห็นบาปดำขึ้นมาถึงหน้าอกถึงยอดอกทุกองค์ ถ้าท่านทั้งหลายจะต้องจุติจากที่นี่ จะต้องลงไปชำระหนี้บาป นั่นคือจะต้องลงนรกที่เป็นแดนที่มีทุกข์หนัก

ท่านก็ชี้มือไปที่นรก เห็นนรกสว่างไสวมาก มีไฟแดงฉานมีการถูกลงโทษต่าง ๆ แต่ละขุม ท่านก็อธิบายว่า แต่ละขุมลงโทษอะไรบ้าง ทำบาปอะไรลงขุมไหน แต่ละขุมไม่มีความสุข ไฟลุกโชติช่วง พื้นก็เป็นพื้นเหล็ก เหล็กก็แดงสุกเหมือนที่เขาตีมีด สัตว์นรกก็เหยียบย่ำไปบนเหล็ก และมีไฟแดงฉาน และถูกค้อนทุบบ้าง ถูกหอกแทงบ้าง ถูกดาบฟันบ้าง อย่างนี้เป็นปกติ เมื่อสิ้นบาปจากขุมนี้แล้วก็ไปขุมต่อไป เพราะบาปแต่ละคนมีมาก บรรดาเทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมดเห็นก็หน้าซีด รู้สึกถึงบาปที่ตัวทำไว้สมัยที่เป็นมนุษย์ และทำไว้หลาย ๆ ชาติสะสม ตัวเองบาปหนัก ท่านถามว่า เทวดานางฟ้า และพรหม กลัวไหม ทุกองค์ก็บอกว่า กลัว ท่านบอกว่า กลัวก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป ถ้าปฏิบัติได้ ทุกองค์จะไม่มีโทษของบาป บาปจะไม่สามารถลงโทษได้ คือ จงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก่อนจะตายเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เวลานี้เรามาครึ่งทางของพระนิพพานแล้ว จากมนุษย์นับเป็นจุดแรก มาถึงสวรรค์ถือว่าเป็นกลางทาง โน่นพระนิพพาน ท่านชี้มือขึ้นไปให้ดู เห็นพระนิพพานแจ่มใสมาก เป็นของใกล้ ๆ เป็นของไม่ไกล อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาจจะขัดกับความเห็นของบุคคลบางคนกับตำรา อาตมาก็ถือว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ต้องจริงเพราะฟังเทศน์มาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรไม่จริง ท่านบอกทุกอย่าง จริงทั้งหมด ถ้าเราไม่เชื่ออุปทานทุกองค์ก็บอกว่าอยากจะไปนิพพาน มันพ้นทุกข์ จะไม่มีการเคลื่อนไหว ไปนิพพานแล้วไม่ไปไหน อยู่ที่นั่น ท่านก็เลยบอกตั้งใจตามนี้นะ

คิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าเราจะตายเราจะไม่ยอมไปอบายภูมิ เราจะมีพระนิพพานเป็นที่ไป เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ และมีศีล ๕ บริสุทธิ์ และตัดความโง่ออกจากใจคืออวิชชา คือว่าไม่อยากเป็นมนุษย์ต่อไป ไม่อยากเป็นเทวดานางฟ้าเป็นพรหมต่อไป ต้องการพระนิพพานจุดเดียว เอาจิตจับไว้เฉพาะนิพพาน ตั้งใจไว้อย่างยิ่งว่าถ้าร่างกายนี้มันพังเมื่อไร ความเป็นทิพย์สลายตัวเมื่อไร เราจะไปนิพพานเมื่อนั้น เพียงเท่านี้ เทวดากับพรหมทั้งหลาย ก็มีสภาพแจ่มใส มีธรรมปีติ แสงสว่างมากกว่าเดิมกว่าเทวดากับพรหมมาก แล้วท่านหันมาถามว่า ฤๅษี มีความสงสัยอะไรบ้าง เมื่อสองสามวันที่แล้วมาคิดอะไร ถามฉันก็ได้นะถ้าสงสัย ก็ตอบท่านว่า มีความรู้สึกว่าอยากจะบอกบุญให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้มีบารมีเข้มข้นใกล้พระนิพพานขึ้นมา ให้มาพระนิพพานเร็ว ๆ เพราะทุกคนตั้งใจดี บุญอย่างอื่นก็ทำกันแล้วทั้งหมด ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ โดยเสด็จพระราชกุศล แต่การโดยเสด็จพระราชกุศลนี้ ก็มีอยู่ว่า บางส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ไปปล่อยปลา ถ้าปล่อยปลาที่ตั้งใจให้คนกินมันจะบาปไหม ท่านก็บอกว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจตามนั่นซี มันอยู่ที่เจตนาของผู้ปล่อย ถ้าผู้ปล่อยคิดว่า ปลาทั้งหมดนี่ เราต้องการให้คนมาจับไปกิน ถ้าใครเขาจับไปกินเมื่อไรเราก็ต้องบาปตามเขา แต่ถ้าปล่อยไว้เพื่ออนุรักษ์ของที่มีอยู่เคยมีอยู่แล้วมันหมดไป อย่างปลานี่เป็นเครื่องประดับของน้ำ น้ำที่ไหนถึงแม้จะใสสะอาดก็ตาม แต่ถ้าไม่มีปลา มันก็ไม่มีความชุ่มชื่นใจ เราเห็นแต่น้ำใสความชื่นใจจริง ถ้ามีปลาว่ายมาเราจะรู้สึกว่ามันเป็นความสุขมาก จิตใจเราจะสบายมาก เพราะว่าปลาเป็นเครื่องประดับของน้ำ ถ้าผู้ปล่อยมีความรู้สึกว่า ๑ เราเลี้ยงปลาให้ปลามีชีวิต นี่เป็นบุญ ประการที่ ๒ เวลาปล่อยปล่อยต้องการให้ปลาเป็นอิสรภาพ อยู่ในที่คับแคบย่อมไม่มีความสุข ถ้าอยู่ในที่กว้างจะมีความสุขมาก ถ้าเป็นอิสระ หากินสบาย จะไปไหนมาไหนก็ไปได้ตามอัธยาศัย นี่เป็นบุญ การปล่อยปลาเขาถือว่าเป็นบุญมาก แต่ถ้าไปนึกว่าปลานี้จงเป็นเหยื่อของคนอย่างนี้บาป มันอยู่ที่เจตนา เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ไม่คิดว่าเป็นอาหารของคนต้องการแต่เพียงว่าอนุรักษ์ให้ปลามันมีอยู่ในแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้เคยมีปลา แต่เวลานี้มันไม่มีปลา ก็ปล่อยปลาลงไป ให้ปลามันเป็นอิสรภาพ ในเมื่อเราทำบุญกับท่าน ปลาทั้งหลายเป็นอิสรภาพฉันใด เราก็จะมีอิสรภาพจากนรกฉันนั้น คือไม่ต้องลงนรก ประการที่ ๓ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถสงเคราะห์คนทั่วประเทศ จะทรงมีความยากลำบากอย่างไรก็ตามทีเสด็จตามเสมอ ไปด้วยกันเสมอ ช่วยทุกอย่างให้คนมีอาชีพ คือช่วยอย่างถาวร ให้คนมีอาชีพดีขึ้น ไม่ใช่ให้กินหมด อย่างนี้ทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือจะมีความสุขขึ้น ก็มีภาพหลายภาพที่เขาแสดงทางโทรทัศน์ ว่าเมื่อก่อนนี้มีความยากจนเข็ญใจ ไม่มีอะไรจะกิน แต่เวลานี้ ได้อาศัยพระมหากรุณาธิคุณของท่าน กระทั่งมีกินมีใช้มีรายได้ปีละ เป็นหมื่น ๆ บาท เงินหมื่นบาทแม้จะไม่มากแต่ก็มากสำหรับคนจน คนที่ไม่เคยมี

รวมความว่า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ทำ ถ้าร่วมกับท่าน จะมีเงินมากหรือมีเงินน้อยก็ตามไม่สำคัญ หลาย ๆ คนรวมกัน ก็มากขึ้นมาเองจะเป็นเหตุให้มีบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้นจะมีบารมีเต็มเร็วและสามารถจะไปพระนิพพานได้โดยง่าย ตรงนี้สิบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจเหลือเกิน เพราะที่พูดกันนั้นก็มองเห็นนิพพานอยู่แจ๋ว ๆ เพราะนิพพานเป็นแดนที่มีความสุข เทวดานางฟ้าและพรหมทั้งหมดก็สนับสนุน ท่านสหัมบดีพรหมท่านเข้ามาใกล้ ท่านบอกว่าคุณลงไปบอกบุญเขาได้เลยนะ การบอกบุญมี ๒ อย่าง คือ

๑. ให้เขาทำคนละเล็กคนละน้อยคิดเป็นเวลาถึงสิ้นปี ถึงวันที่ ๑๒ สิงหาคมของทุกปี จะให้ตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ องค์ละเท่า ๆ กัน จะเป็นเงินมากหรือน้อยก็เหมือนกัน เราเป็นคนจน เราไม่สามารถจะหาเงิน ๑๐ ล้าน หลายร้อยล้านมาได้ แต่ถ้าทุกคนร่วมกันก็สามารถจะเป็นเงินมากขึ้นมาได้ ถ้าใครเขาตั้งใจจะถวายด้วยตนเองด้วยกำลังศรัทธาก็ไปคอยท่านที่บริเวณโบสถ์วัดพระแก้วเข้าไปแล้วที่นั่น พอท่านเสด็จเข้าไป ก็ชูมือขึ้น ไม่ต้องชูสูง ยกสตางค์ ยกแบงก์ ให้ท่านเห็น ท่านก็รับ ท่านไม่ถือพระองค์ ทั้ง ๒ องค์นี้เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมจริง ๆ ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าก็ยอมรับ

ท่านว่า เออ ฤาษี ที่ท่านสหัมบดีพรหมแนะนำน่ะ ถูกต้องแล้ว ก็เป็นอันตัดสินใจว่า วันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากว่า มีโอกาส จะพึงมี ท่านจะโปรดจะให้ตัวแทนจัดเงินส่วนใดส่วนหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บริจาคมาทั้งหมด ไปถวายพระบาทาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ใกล้ ๆ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

หลังจากนั้นก็ทุกปี จะค่อย ๆ รวมกันเป็นเดือน ๆ เดือนหนึ่งเข้าซอยสายลมครั้งหนึ่งก็บอกบุญครั้งหนึ่ง ถ้าญาติโยมไม่มีโอกาสมาซอยสายลม จะส่งมาทางไปรษณีย์ก็ได้ มารวมกันได้ ได้เท่าไรก็จะประกาศให้ทราบทีหลัง แล้วจะตั้งตัวแทนไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราจะได้ใกล้พระนิพพานกันยิ่งขึ้น

บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คำแนะนำนี้ เป็นคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เป็นคำแนะนำของท่านสหัมบดีพรหมด้วย ช่วยแนะนำให้พวกเรามีบุญบารมีใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น มีบารมีเต็ม หวังว่าคงไม่เป็นที่ขัดใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาหมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ผู้อ่าน และผู้ฟังทุกท่าน สวัสดี

พาโยมไปพระนิพพานโดยเสด็จพระราชกุศล ( ๒ )Copyright © 2001 by
Amine
17 พ.ย. 2547