ปัจฉิมโอวาท

พิมพ์โดย พี่สาวคุณสมชาย

ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เวลานี้เป็นเวลา ๒ นาฬิกา ของวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็เป็นเวลาพอดีที่อาตมาได้รับโอวาทจากหลวงพ่อปาน ก่อนที่ท่านจะไปกรุงเทพฯ ความจริงการรับโอวาทคราวนั้น ไม่ใช่รับแต่อาตมาแต่ผู้เดียว มีเพื่อนพระด้วยกันอีก ๔ องค์ด้วยกัน รวมเป็น ๕ องค์

แต่เพื่อนที่จะบอกได้ก็คือเพื่อนในป่า ๒ องค์ อีก ๒ องค์นั่นมรณภาพไปแล้ว การมรณภาพของท่านทั้งสอง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาก็มั่นใจเหลือเกินว่าท่านทั้งสองนั้น การตายของท่านไม่เสียเปล่า เพราะว่าในฐานะที่ท่านเป็นลูกเสือลูกตะเข้หรือลูกจระเข้ โบราณท่านว่ายังงั้น ขึ้นชื่อว่าเสือ ลูกเสือก็ต้องมีความคล่องแคล่วเหมือนพ่อแม่ ลูกจระเข้ ก็มีความอดทนเหมือนพ่อแม่ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านทั้งสองที่มรณภาพไปแล้วก็มีอาการฉันนั้น

ท่านมีความอดทนต่อทุกขเวทนาอย่างมาก อาการไข้ของท่านเพียบหนัก ทุกคนน่าหนักใจ แต่ทว่าคนที่ไปหาท่านเมื่อไรก็ปรากฏอาการชุ่มชื่นของใบหน้า จริยาที่ออกมาเป็นอาการแสดงอาการความชุ่มชื่น บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ว่าอาการทางกายนี่สิ เราทราบกันชัดว่า ท่านมีอาการป่วยหนัก ทุกขเวทนามากเหลือเกิน

อันนี้เราก็ต้องสรรเสริญในฐานะที่ท่านใช้สังขารุเปกขาญาณได้มั่นคงมาก คำว่าสังขารุเปกขาญาณก็คือญาณเป็นเครื่องรู้ในการระงับหรือวางเฉยในความเป็นไปของขันธ์ ๕ ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับกายบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มันไม่เกิดขึ้นนานนัก มันใช้เวลาไม่นานร่างกายมันก็พัง ท่านจึงได้ตั้งใจคิดว่า เราอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดทนต่อการทุกข์ทรมานที่เกิดกับตัว นี่เป็นเรื่องของลูกศิษย์ทั้งสององค์ที่มรณภาพไปแล้ว

ทีนี้มาว่าเรื่องของหลวงพ่อปาน เวลาที่ท่านป่วยอยู่ เวลานั้นก็ปรากฏว่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้มีความหวังดี ต่างหาหมอกันมาหายากันด้วยประการต่าง ๆ มารักษาหลวงพ่อปาน แต่ทว่าอาการไข้ของท่านไม่ดีขึ้น แต่ความชุ่มชื่นของท่านปรากฏเป็นปกติ สายตาที่ท่านมองพวกเรา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีสายตาอันแจ่มใส ไม่เคยแสดงถึงอาการวิตกกังวลทางกายเลยแม้แต่น้อย ไม่แสดงถึงอาการทุกข์ทางกายที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ และพวกเราก็รู้ได้ชัดว่า หลวงพ่อคราวนี้มีทุกขเวทนาสาหัสมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอุจจาระมันไม่ถ่าย เขาใช้ยาเหน็บใช้ยาสวนมันก็ไม่ค่อยจะออก และอาการเช่นนี้มันบอกชัดบรรดาท่านพุทธบริษัท มันบอกว่าอาการทางภายในของท่านไม่มีอะไรดีเสียเลย เรื่องของแก๊สมันก็ดันขึ้นมา เราลองเอามือไปเคาะท้อง ดังเหมือนกลองเพล แต่ดังไม่ถึงแบบนั้น มันดังคล้าย ๆ กัน ถ้ามันดังเท่ากลองเพลจริง ๆ มันก็ยุ่งเหมือนกัน มันดังไม่ถึงเคาะขึ้นมาถึงด้านนอก เลยซี่โครงขึ้นมาสัก ๕ ซี่ ดังได้ยินดังเสียงปุ๊ก ๆ ๆ แสดงว่าแก๊สมันดันขึ้นมามาก

อาการหายใจก็มีความลำบาก รู้สึกมันเหนื่อย และถึงเวลาที่ท่านพูดกับบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มาเยี่ยมหรือพวกเราก็ตาม หลวงพ่อไม่เคยแสดงอาการว่ามีทุกขเวทนาใด ๆ เลย นี่เป็นการแสดงออกว่าท่านมีขันติมาก และสังขารุเปกขาญาณของท่านชัดเจนแจ่มใส

เป็นอันว่าเรื่องความตายความป่วยเป็นของธรรมดา คืนวันสุดท้ายที่ท่านจะอยู่ที่วัด วันรุ่งขึ้นเขาจะนำไปจังหวัดพระนครคือกรุงเทพฯ แต่ก่อนหน้านี้ขอพูดอะไรสักนิดหนึ่ง ด้วยความหวังดีของลูกศิษย์ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเขาเห็นว่าท่านฉันข้าวไม่ได้ก็นำโอวัลตินใส่ไข่บ้าง ไข่ลวกบ้าง ไปถวายท่าน เขาถวายท่านก็ฉัน ทุกครั้งที่เขาให้อะไรท่านไม่เคยปฏิเสธ เป็นการเจริญศรัทธาแต่ว่าพอท่านเจ้าของออกไป เราอยู่กันข้างหลัง ท่านก็บอกว่าอาหารทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มีประโยชน์ ที่ท่านฉันไม่ใช่ว่าท่านชอบ ท่านฉันเพื่อทำใจของบรรดาท่านผู้ให้มีความชุ่มชื่น เพราะเขาเห็นว่ามีประโยชน์ สามารถจะทรงร่างกายไว้ได้ และท่านก็กลับพูดย้ำว่า คราวนี้ฉันอยู่ได้ได้ลูกรัก พวกเธอทั้งหลายจงอย่าสลดใจอย่าเสียใจ

เวลาที่ท่านพูดก็เป็นเวลากับพอดีทีอาตมาพูดเหมือนกันเป็นเวลา ๒ นาฬิกา ความจริงนี่ว่าจะหยุดแล้วนะ ไปมองนาฬิกาเห็น ๒ นาฬิกาพอดีก็เลยพูดเข้าไว้ เพราะมันเป็นเวลาที่รู้สึกจะพูดว่าสะเทือนใจมันก็ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นจุดของหัวใจจุดหนึ่งที่มีความสำคัญ ที่จะลืมถ้อยคำของหลวงพ่อปานที่เป็นปัจฉิมโอวาทเสียมิได้ เวลานั้นพวกเรา ๕ คนนั่งเฝ้าท่านอยู่ ท่านเรียกเข้ามาใกล้ มองดูหน้าท่านจำได้ว่าทุกคนเป็นพระที่มุ่งดีรักในสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน ทำงานทุกอย่างตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่ใช่นักเจริญกรรมฐาน เข้าถ้ำแล้วมันก็ไม่โผล่ ไม่ใช่แบบนั้น เราทำงานกันทุกอย่าง การศึกษาด้านปริยัติเราก็เรียน กรรมฐานก็ปฏิบัติ ไม่มีเห็นว่ามันจะมีอะไรที่จะขัดกับสมาธิกับปัญญา ไม่มีเลยท่านพุทธบริษัท มันทรงอยู่ตลอดเวลา นี่มันเป็นอย่างนี้

ท่านเรียกเข้ามาใกล้ท่านก็บอกว่า ลูกรัก วันพรุ่งนี้พ่อจะต้องไปกรุงเทพฯ ท่านพูดเหมือนกับคนไม่ป่วย ท่านบอกว่าเขาจะเอาพ่อไปรักษา แต่ประโยชน์มันไม่มีหรอกลูกรัก เพราะปีนี้มันเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของพ่อ พวกเธอทั้งหลายมีความสนใจ ในด้านการเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานกันดีมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล่ะบรรดาลูกรัก ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะช่วยตัวเราได้ ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สินทั้งหลายภายนอกอันเป็นโลกียทรัพย์ไม่มีทางที่จะช่วยเราได้เลย บรรดาลูกทั้งหลายจงมองดู พ่อสร้างวัดกี่วัด สมบัติของสงฆ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดบางนมโคเอาเฉพาะของใช้ ถ้าชาวบ้านจะทำงานคราวเดียวกัน ๔ ราย ก็จะใช้กันได้อย่างฟุ่มเฟือย ของจะไม่ขาดแคลน แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่พ่อทำไว้ก็ดี ที่วัดนี้ก็ตามวัดอื่นก็ตาม เวลานี้พ่อป่วยไข้ไม่สบาย มันช่วยอะไรพ่อได้บ้าง ทรัพย์สมบัติทั้งหลายไม่สามารถจะช่วยทุกขเวทนาได้ ขอลูกทั้งหลายจงจำไว้ แล้วเมื่อเวลาพ่อจะตายมีทรัพย์ส่วนไหนบ้างที่มันจะพยุงการพ่อไม่ให้ตายได้นี่พ่อสร้างความดีมามาก แต่ขันธ์ ๕ มันก็ไม่เคยตามใจพ่อ พ่อเคย คิดว่ามันยังไม่ควรจะแก่ มันยังไม่ควรจะทรุดโทรมถึงขนาดนี้แต่ว่ามันรอพ่อเมื่อไหร่ล่ะ มันไม่ได้รับคำสั่ง มันไม่ได้ฟังคำสั่ง มันปฏิบัติตามหน้าที่ของมัน นี่กฎธรรมดาของขันธ์ ๕ นะลูกรัก จำไว้ให้ดี

นี่ปัจฉิมโอวาทของท่าน บรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจบรรดาคณะลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับวันนั้นเป็นอย่างมาก ท่านก็เลยพูดต่อไปว่า เจ้าทั้งหลายอยู่กับพ่อคนละ ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปีก็ตามแต่ เจ้าก็ใกล้ชิดมาก คำว่าใกล้ชิดในที่นี้พ่อไม่ได้หมายความว่า พ่อนั่งอยู่เจ้านั่งใกล้ หรือว่าพ่อไปไหนเจ้าตาม พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้ พ่อหมายความถึงว่าความดีที่เจ้าปฏิบัติกันในด้านสมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา นี่พวกเธอทั้งหลายตั้งใกล้ชิดพ่อมาก มีความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ปฏิบัติความดีทางใจกันไม่ได้ขาด อันนี้จะเป็นที่พึ่งใหญ่ของเจ้าวิชาความรู้ใด ๆ ทั้งหมด พ่อไม่เคยปกปิดเจ้าเมื่อเธอทั้งหลายคิดว่าพ่อตายไปแล้วเจ้าไม่มีที่พึ่ง ก็จงอย่าคิดอย่างนั้น ที่พึ่งทั้งหลายพ่อให้ไว้แล้ว ดูแต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่พูดกันพระอานนท์ว่า " อานันทะ ดูก่อนอานนท์เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยเท่านั้นที่จะเป็นศาสดาสอนเธอ "

นี่พวกเธอก็เหมือนกันลูกรักทั้งหลาย ที่พ่อใช้คำว่าลูกรัก เพราะรักทุกคนลูกของพ่อ แต่ทว่าพวกเจ้าทั้ง ๕ คนนี้ เป็นคนที่รู้จักเอาใจพ่อมากที่สุด คำว่าเอาใจก็หมายถึงว่าพอใจในการให้ทานพอใจในการรักษาศีล พอในใจการเจริญภาวนา คือว่าพยายามติดตามพ่อทุกอย่าง พอถึอว่าเป็นคนใกล้ชิดและเอาใจพ่อ เพราะพ่อรักคนประเภทนี้ แต่ว่าจงอย่าถือว่าพ่อไม่รักอื่น อย่าไปพูดอย่างนั้น รักเหมือนกันหมด แต่ว่าถ้าใครปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสุคต พ่อก็รักเป็นพิเศษ ที่รักก็เพราะว่าเขาจะไม่ยอมไปอบายภูมิ อันนี้เป็นที่พอใจของพ่อ พวกเธอทั้งหลายฟังพ่อแล้วจงอย่าเสียใจ

เวลานั้นความรู้สึกของพวกเราเป็นยังไงบรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะปล่อยให้น้ำตามันไหลโชกออกมาเสีย ท่านพูดมาแล้วพวกเราจะพูดตอบก็พูดไม่ไหว มันตื้นตันใจไปหมด จิตใจของทุกคน อาตมาก็คิดว่าเหมือนกัน เพราะจะไปมองหน้าใครล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ดุนัยน์ตามันชื้นไปด้วยน้ำ แต่ว่าไม่มีใครปล่อยน้ำตาไหลออกมา เพราะในฐานะที่ตนเป็นพระ ที่น้ำตาชื้นออกมานั้นไม่ใช่เสียใจ มันเป็นธรรมปิติ ที่มีความปลื้มใจที่หลวงพ่อถึงแม้ว่าจะป่วยขนาดนั้นท่านก็ยังรวบรวมกำลังใจของท่านให้โอวาทกับพวกเรา แล้วก็ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจาเราทราบกันอยู่แล้ว อาการป่วยคราวนี้หลวงพ่อไม่รอดแน่ ต้องตาย ถาจะพูดถึงเรื่องกำลังใจเราก็เป็นคนมีความรู้สึกบรรดาท่านพุทธบริษัท พระไม่ใช่หัวตอ จะได้ไม่มีความรู้สึกอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาตมาก็เป็นพระปุถุชนคือขณะนั้นปรารถนาพุทธภูมิ

เมื่อท่านพูดมาแล้วก็ตื้นตันใจ ท่านมองหน้าพวกเรา พวกเราก็นิ่ง ท่านก็นิ่งไปพักใหญ่ คำว่าพักใหญ่ก็ประมาณสัก ๒ - ๓ นาที ท่านก็บอกว่า ลูกรักทั้งหลาย จะเสียใจไปเพื่อประโยชน์อะไรขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา พ่อบอกเจ้าอยู่แล้วว่า ขันธ์ ๕ มันเป็นบ้านที่อาศัยเราเช่าอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อบ้านพังเราก็ต้องไปหาบ้านใหม่ บ้านของพวกเธอทั้งหลายพากันสร้างไว้สวยสดงดงาม ด้วยอำนาจของวิหารทาน เธอจงใช้อำนาจทิพยจักขุญาณดูต่อไปว่า ภาวะทั้งหลาย เมื่อเจ้าทั้งหลายละอัตภาพจากความเป็นมนุษย์แล้ว จะไปอยู่ที่ไหน อันนี้พ่อทราบแล้วว่าเจ้ารู้ที่อยู่ของเจ้า ท่านเงียบแล้วก็มองหน้า แล้วก็ถามว่า พ่อพูดยังงี้เข้าใจไหม พวกเราพนมมือกันอยู่แล้วเวลาฟังโอวาท นั่งพับเพียบพนมมืออยู่แล้วก็ก้มศีรษลง เอามือยกขึ้นมานมัสการบอก ทราบแล้วขอรับ ท่านถามว่าเจ้าภูมิใจไหม ที่มีบ้านสวย ๆ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มีความภูมิใจมากที่เกิดมาไม่เสียทีเกิด ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ได้หลวงพ่อเป็นผู้นำ ท่านยิ้มบรรดาท่านพุทธบริษัท นับตั้งแต่วันป่วยมาจนกระทั่งถึงวันที่พูดกัน ท่านเพิ่งยิ้มครั้งนั้น ยิ้มอย่างสดชื่นบอกไม่ถูก ทำให้จิตใจของบรรดาพวกเราเต็มตื้นอยากจะร้องไห้

แต่ว่าท่านทั้งหลาย พระต้องเป็นพระ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่พระแท้ แต่ว่าผ้าเหลืองเป็นพระ การโกนศีรษะเป็นพระ ก็ต้องใช้อธิวาสนขันติ เรียกว่าขันติก็แล้วกัน อดกลั้นดันน้ำตาให้มันกลับเข้าไปข้างใจ ไม่ยอมให้มันไหลออกมาข้างนอก ในใจมันบอกว่ามันร้องไห้ แต่ภายนอกมันบอกว่มันมีอาการสงัด และท่านก็พูดต่อไปว่า ลูกรักทั้งหลาย ถ้อยคำใด ๆ ที่พ่อสอนเจ้า เจ้าทำได้ทุกอย่าง และก็ครูบาอาจารย์องค์ใดที่ควรกับอัธยาศัยของพวกเจ้า พ่อก็พาไปพบแล้ว การศึกษาในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเราจะศึกษากันอย่างเดียวกับอาจารย์เดียวแล้วก็ต้องบรรลุมรรคผล เพราะว่าคนที่จะเป็นพระอริยเจ้านั้น จะต้องศึกษากับพระอริยเจ้า เรื่องนิพพานพ่อมีความเข้าใจ แต่ทว่าไม่ใช่วิสัยของพ่อที่จะสอนได้บรรดาลูกรัก เพราะอะไร เพราะว่าพ่อปรารถนาพุทธภูมิ ฉะนั้นการปฏิบัติตัวของพ่อก็จึงอยู่ในขั้นฌานโลกีย์เสมอไป แต่ทว่าอาศัยกำลังใจเท่านั้น ที่มีความเด็ดเดี่ยวมีความเข้มแข็ง ฉะนั้นบรรดาพระทั้งหลายที่พ่อพาไปหา พ่อทราบว่าบรรดาพระทั้งหลายที่พ่อพาไปหา พ่อทราบว่าบรรดาเจ้าทั้งหลายปรารถนาพระนิพพาน และมีอุปนิสัยจะเข้าถึงพระนิพพานกันได้โดยไม่ยาก พ่อจึงพาไปฝากให้เรียนจากสำนักอาจารย์ต่าง ๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ความจริงพวกเราก็ทราบกันอยู่แล้ว ว่าเวลาที่ท่านอยู่ท่านก็จะไม่เรียกพระอรหันต์ พระองค์นี้มีจริยาเหมือนพระอรหันต์ แต่ว่าเวลานี้ท่านกำลังใกล้จะตาย ท่านก็ทิ้งท้ายบอกว่าพระที่พ่อพาไปเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น และในเมื่อคนต้องการเป็นพระอรหันต์ จะสอนลูกศิษย์ให้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะภูมิแห่งการปฏิบัติไม่เหมือนกับหลักทฤษฎีคือหลักวิชาตามตำรา การปฏิบัติจริงมีหลายสิ่งที่พลิกแพลงไม่เหมือนตำรามีอยู่มาก ฉะนั้นบุคคลที่จะเข้าใจคำสอนขององค์สมเด็จผู้มีพระภาคเจ้า จะต้องมีอารมณ์เข้าถึงอย่างน้อยก็ทิพยจักขุญาณเบื้อสูง ไม่ใช่ทิพยจักขุญาณเบื้องต่ำ ทิพยจักขุญาณเบื้องสูงนั้นจะมีส่วนได้ คือเห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน คนและสัตว์ที่มาเกิดนี่มาจากไหน และก็รู้ว่าวาระน้ำจิตของตนและบุคคลอื่น ระลึกชาติได้ รู้เรื่องราวในอดีต อนาคตปัจจุบัน รู้กฎของกรรมของตนเองและของบุคคลอื่น

นี่ถ้าได้ทิพยจักขุญาณเบื้องสูงอย่างนี้ ทุกคนจะค้นคว้าศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ดี แต่ว่าเรื่องของนิพพานก็ยังเข้าใจไม่ได้ จะเข้าใจได้ต่อเมื่อจิตเข้าสู่โคตรภูญาณแล้ว ตอนนี้จะมีความเข้าใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ดี ท่านพูดแล้วก็นิ่งคล้ายจะเหนื่อย พวกเราก็น้ำตาคลอ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เราก็มีกำลังใจ ดันน้ำตากลับเข้าไปไหม่ ว่าแกจะไหลก็ไหลอยู่ข้างใน อย่าไหลออกมาข้างนอก ประเดี๋ยวหลวงพ่อจะเศร้าใจ เวลาท่านป่วยไข้ไม่สบาย เรามีความต้องการกันอยู่อย่างเดียวคือ ไม่ต้องการให้หลวงพ่อสะเทือนใจ และไม่ต้องการให้หลวงพ่อเห็นว่าพวกเราเป็นคนอื่นแอ แต่ว่าท่านพุทธบริษัท ท่านคิดหรือไม่ว่าหลวงพ่อปานจะไม่รู้ ท่านรู้ดีมาก ตามหนังสือที่เขาเขียนว่า เขาไม่รับรองปฏิหาริย์ของหลวงพ่อปาน อาตมาก็ขอรับรองตามนั้น

แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของปฏิหาริย์ มันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์หรือสมรรถภาพ ที่เราได้จากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นของธรรมดา ๆ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท่านนิ่งแล้วท่านก็มองหน้าหันมาหาอาตมาบอกว่า ลิงดำลูกรัก เจ้าเป็นลูกพ่อมานาน คำว่านานนี่หมายถึงว่าหลายชาติ เจ้าเคยใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณดูบ้างหรือเปล่า ก็ก้มศีรษะลงพนมมืออยู่แล้ว รับท่านบอกว่าเคยดูขอรับ ท่านถามทราบชัดแล้วหรือ บอกว่าทราบชัดแล้ว ตอบท่านว่ายังงั้น ท่านก็เลยบอกว่าเจ้าเป็นลูกพ่อมานาน เจ้าต้องมีความเข้มแข็ง เจ้าปรารถนาพระโพธิญาณ มีอารมณ์ใจเด็ดเดี่ยวมาก และมีอารมณ์มุมานะมาก มีขัตติยมานะติดมามาก เพราะเคยเป็นกษัตริย์นับเป็นร้อย ๆ ชาติ เป็นพันชาติ เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เคยเป็นนายทหารเป็นแม่ทัพผู้ใหญ่ เคยเป็นพ่อบ้านแม่เมือง ขัตติยมานะในความเป็นผู้ใหญ่ย่อมติดตัวมาเป็นของธรรมดา เป็นอุปนิสัยเดิม แต่ทว่าเวลานี้เจ้าจงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นพระ จงวางขัตติยมานะนั้นเสีย เวลานี้เราไม่ใช่กษัตริย์ เราไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ เราเป็นทหารของพระพุทธเจ้าคือกองทัพธรรม จงยึดพระธรรมวินัยให้เป็นของเหนือสิ่งใดทั้งหมด จงมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้าปรารถนาพุทธภูมิ และจงทราบไว้ด้วยว่า ความเป็นพุทธภูมิของเจ้าจะไปได้ไม่มากนัก เพราะว่ากาลเวลาผ่านไปไม่นาน บรรดาอลัชชีทั้งหลายจะมีอำนาจ จะย่ำยีพระภิกษุสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ หรือ ทรงศีล สมาธิ ปัญญา ต่อไปข้างหน้าอลัชชีจะมีอำนาจ พวกเราจะลำบาก เวลานั้นเจ้าจะเบื่อหน่ายในความเป็นพระ เบื่อพระแล้วเจ้าก็จะลาจากพุทธภูมิ อันนี้พ่อทราบแล้ว ว่า เจตนาที่เจ้าเคลื่อนมานี่ปรารถนาจะลาพุทธภูมิตัดตรง แต่เจ้าเองไม่ได้ดูตัวของตัวเอง ไม่ได้พิจารณาของตัว เข้าไปเป็นพรหมไปพบเพื่อน เพื่อนดีใจบอกว่าลงไปแล้วตั้งใจจะกลับมาและจะให้สูงกว่าเดิม เจ้าก็กลับ คิดว่าจะไปเป็นพรหมสูงกว่าพรหมชั้นเก่า นั่นมันไม่ใช่นั่นหมายความว่าจะไปดินแดนที่สูงสุด

ในกาลนั้นถ้าหากว่าเจ้าลาพุทธภูมิก็คงจะสำเร็จกิจพระพุทธศาสนาภายใน ๓ เดือน ฟังของท่านให้ดีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านใช้คำว่าคง ท่านไม่ได้ยืนยันเพราะท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเจ้ามีความเข้มแข็งมาก แต่ว่าพ่อขอสักอย่างหนึ่ง ขัตติยมานะ การถือตัว การปฏิบัติตนเอาตัวรอด อย่าทำอย่างนั้น แต่ว่าจงช่วยตัวให้เข้าถึงจุดสำคัญคือสูงสุดของพระพุทธศาสนา แล้วก็พยายามโอบอุ้มบรรดาบริษัทของเจ้าก็ดี ของพ่อก็ดี ของโยมเจ้าก็ดี คำว่าของโยมเจ้าเป็นของใคร บรรดาท่านพุทธบริษัท พูดไปก็เป็นของลำบากเขายังมีอยู่ เจ้าลัดทางในคราวนี้หวังจะติดตามไปจดจุดพุทธภูมิจะมีความลำบาก จงพยายามกวาดต้อนพวกนี้ไปให้เข้าจุดดาวดึงส์ให้หมดเป็นอย่างน้อย แล้วต่อไปข้างหน้าเจ้าจะพบมาก ขณะที่พบเวลานี้ยังไม่ได้หนึ่งในร้อยของความจริงที่เจ้าพึงมีข้างหน้า เขาจะมารวมตัวกัน

การสร้างวิหารทานลูกรัก เป็นปัจจัยให้บรรดาพวกเขาเข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย และเมื่อเจ้าสร้างศรัทธาแบบนั้นได้แล้ว จงแนะนำให้ด้านสมถะวิปัสสนาตามความสามารถที่เจ้าได้ ขอเจ้าจงคิดว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีบุญคุณ เจ้าจงเป็นคนรู้คุณคน จงเป็นคนมีความกตัญญูรู้ความดีของบุคคลอื่น อย่าทำลายความดีของบุคคลอื่น โดยไม่สนองความดีเขาแล้วหนีเขาไป ทำอย่างนั้นไม่ได้นะลูกรัก เวลากาลข้างหน้ามีมาก

และอีกประการหนึ่ง กรรมเก่าเจ้าเคยเป็นกษัตริย์ เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ แล้วก็เคยเป็นนายทหารผู้ใหญ่ที่มีฝีมือ สร้างกรรมไว้มาก อุปสรรคร้ายมันจะเกิดกับเจ้าทุกขณะที่ทำความดี ทั้งในด้านวัตถุและทั้งในด้านปฏิบัติธรรม จะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางอย่างคาดไม่ถึง เข้าจงอดทน จงถืออภัยทานเป็นสำคัญ

ท่านพูดมากกว่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน แต่ว่าเทปนี่มันสั้นเพียง ๓๐ นาทีเท่านนั้น ก็ยับยั้งไว้แต่เพียงเท่านี้ ท่านย้ำมาอีกทีว่า ถ้าหากว่าเจ้าจะเอาตัวรอด บุญบารมีของเจ้าพอแล้ว แล้วงานก่อสร้างของเจ้าไม่ต้องทำต่อไปก็ได้ การทำต่อไปก็ถือว่าเป็นการสนองคุณงามความดีบุญคุณของบุคคลผู้มีคุณก็แล้วกัน อย่าเห็นแก่ความเหนื่อยยาก อย่าท้อต่ออุปสรรค เจ้าจะพบกับอุปสรรคอย่างหนักต่อไปในกาลข้างหน้า จงจำคำของพ่อไว้ว่า เราจะให้อภัยแก่บุคคลผู้ผิด

แล้วท่านก็หันไปหาเพื่อนทั้งสอง บอกว่าเจ้าทั้งสองที่เป็นมิตรกันนี่ ๓ คน คนหนึ่งต้องเป็นหนี้ชาวบ้าน เพราะอยู่กับชาวบ้าน เวลานี้พ่อทราบว่า ลิงดำคิดว่าพ่อตายแล้ว จะเข้าป่า เมื่อเผาพ่อแล้วไปไม่ได้นะลูกนะ ต้องอยู่สู้หน้ากับคนอยู่สู้หน้ากับเจ้าหนี้ ชำระหนี้เสียให้ครบถ้วนแล้วจึงไป ความสบายใจมันจะได้เกิด แต่ว่าสององค์นี่เข้าป่าได้ลูกรัก เพราะว่าอภิญญาสมาบัติของเจ้า จะเป็นอันตรายกับพระและบุคคลที่เขาไม่มีความเคารพ เขาจะดูถูกดูหมิ่นเจ้า อันตรายจะมีกับเขา เมื่อพ่อตายแล้วเผาพ่อแล้วเข้าป่าได้ เป็นสิทธิของเจ้า เจ้าไม่เป็นหนี้ใคร แต่ทว่าหากว่าเจ้ายังไม่ไปก็พอพรรษาถึง ๑๐ พรรษา แล้วก็เข้าป่า

เมื่อท่านให้โอวาทแบบนี้แล้ว ท่านก็บอกให้กลับ ก่อนจะให้กลับท่านก็บอกว่าจงจำไว้ว่า ทาน ศีล ภาวนา นะลูกรัก เป็นสมบัติชของเราเป็นที่พึ่งของเราได้ พอมองเวลาเป็นเวลา ๔ นาฬิกา พอกลับถึงที่ก็คิด่า นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะนอน ถ้าพักผ่อนนิดเดียวไม่เป็นไร เพราะใกล้วเวลาบิณฑบาต สององค์มีความสามารถเป็นพิเศษ ท่านก็เลยเข้านิโรธสมาบัติตั้งเวลาไว้ ๒ ชั่วโมง อาตมายังตั้งกับเขาไม่เป็น ก็เลยเข้าสมาบัติ ๑ วิ่งปึ๋งเดียวชนสมาบัติ ๘ นอน เขลงตามสบายพักใหญ่ นึกเอ๊ะว่าเราจะอยู่นี่ทำไม ถอยหลังมาอยู่สมาบัติ ๔ พุ่งตัวอีกทีเข้าไปบ้านที่เขาปลูกไว้ให้แล้ว ไปนอนในบ้านแล้วมันมีความสวย

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาบอกหมดแล้วก็ขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี

อาลัยหลวงพ่อปาน(8)ชวนเทวดา,นางฟ้า,พรหม ไปนิพพานCopyright © 2001 by
Amine
10 มิ.ย. 2547