อาลัยหลวงพ่อปาน ..(8)

1 2 3 4 5 6 7 8

พิมพ์โดย พี่สาวคุณสมชาย

ปีนั้นวันหนึ่งตอนเย็น ท่านไปบ้านแม่วงศ์ คุณเฉลิม ซึ่งเป็นพ่อค้าขายของเก่าสร้างประจำ ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระไปด้วยกันหลายองค์ อาตมาก็ไปด้วย ฆราวาสก็มีพระก็มี ทางขึ้นบ้านเป็นทางลาดเป็นสะพานลาดใหญ่ แต่มันมีน้ำขึ้นน้ำลง มันมีตะไคร่น้ำจับอยู่แต่ก็แห้งแล้ว ท่านเดินขึ้นไปพวกเราก็เดินอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างไกลนัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะห่วงใยหลวงพ่อปาน เพราะว่าท่านชรามากแล้ว ร่างกายท่านก็ทรุดโทรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บนี่เล่นงานท่านตลอดเวลา ท่านต้องฉันยาวันละ 4 เวลาตลอด นับตั้งแต่อาตมารู้จักท่านมา ท่านไม่เคยขาดการฉันยาเลย ท่านเป็นหมอรักษาโรค คนอื่นท่านรักษาได้ แต่ว่าร่างกายของท่านรักษาให้มันหายคืนเป็นหนุ่มขึ้นมาไม่ได้ เรื่องนี้ท่านพูดเหมือนกัน ท่านก็เลยบอกว่ามันเป็นกฎของธรรมนะลูกรัก ถ้อยคำของท่านเพราะมาก เวลาท่านพูดกับเราตามลำพัง มีวาจาไพเราะจับใจ แม้จะพูดกับใครก็เหมือนกัน ลีลาหลวงพ่อปานนี้ติดตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ๓ - ๔ ขวบขึ้นไป

เวลาท่านคุยธรรมะนี่อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย แม้แต่เด็ก ๆ ก็ตาม ไม่ถอยหลังออกมา คุยเป็นที่เพลิดเพลิน มีทั้งการขำขันไปในตัวเสร็จ ประกอบกับธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ท่านฉลาดในการพูดฉลาดในการสอนมาก การที่ท่านปรารถนาพระโพธิญาณเพื่อที่จะได้บรรลุเป็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านี่เป็นการสมควร

และในขณะที่ท่านเดินขึ้นไปบนสะพาน ก็บังเอิญตะไคร่น้ำถึงแม้ว่าน้ำมันจะแห้งตะไคร่จะแห้งแล้วมันก็ลื่น ท่านก็ซวนทำท่าจะล้ม พวกเรา ๒ - ๓ องค์ก็รีบเข้าประคอง เข้าไปรับไว้ ตะไคร่น้ำมันลื่น บรรดาท่านพุทธบริษัท พวกเราก็ซวนล้มเหมือนกัน แต่ว่าค่อย ๆ ล้ม ล้อมอย่างมีระเบียบ คือหมายความว่ามันไม่ลื่นเกินไป พอทรงกายพยุงตัวไว้ได้ไม่ให้ล้มตึงตัง ท่านก็ล้มทับพวกเราลงมา ความจริงเรารับท่านไว้แล้วเกาะท่านไว้ กายท่านก็ทับลงมา แต่ก็ไม่ได้กระทบพื้นอะไร แต่เป็นกฎของกรรมนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องความตายเราจะไปเลือกตายเฉพาะกาลใดกาลหนึ่งไม่ได้ ถ้าจะตายมันก็ต้องมีเหตุ

ทีนี้การล้มคราวนั้นถ้าเราจะพิจารณาแบบคนธรรมดาแล้ว มันไม่มีอันตรายอะไรเลย แต่ทว่าท่านกลับบอกว่าท่านเสียวที่หน้าอก ท่านบอกชัดเลยว่าแผลที่ถูกบังฟันมันขาดขึ้นมาซะแล้ว ที่อาจารย์จาบประสานติดเข้าไว้ ขอให้พวกเราทั้งหมดพากลับวัดด่วน นายเฉลิม แม่วงศ์ จึงได้นำเรือยนต์ของเธอ ลากเรือของหลวงพ่อปานมาส่งที่วัดทันอกทันใจ


เมื่อมาถึงที่วัดแล้วก็ให้การรักษากันตามสมควร เวลานั้นนายแพทย์ปริญญาก็หาไม่ได้ ถึงแม้ว่าเป็นนายแพทย์แผนปัจจุบันชั้นสองก็ไม่รู้จะหาที่ไหน มีก็แพทย์แผนโบราณท่านรักษาตัวเองบ้าง ท่านก็บอกว่าคราวนี้ถ้าท่านอาจารย์จาบยังมีชีวิตอยู่หรืออยู่ใกล้ ก็คงจะบรรเทาเวทนาได้ แต่นี่อาจารย์จาบอยู่ไกลอยู่ถึงอำเภอบางบาล ถ้าเป็นเวลานี้อำเภอบางบาลมันก็ไม่ไกล เพราะรถเรือไปได้สะดวก แต่เวลานั้นเราต้องพายเรือกันไป อาการป่วยของท่านเมื่อกลับมาที่วัด ก็ปรากฏว่ามีลูกศิษย์ลูกหาของท่านมาคอยยู่นานมากแล้ว เมื่อทราบเข้าข่าวนี้ก็ถึงกรุงเทพฯ เร็ว


แต่ความจริงสมัยนั้นมันถึงยากเต็มที คนในกรุงเทพฯ ก็ขึ้นไปกันตหนัก คนบ้านนอกก็ไปหนัก และก็ทราบกันชัดอยู่แล้วว่า ปีนี้เป็นปีที่สาม ที่ท่านบอกว่าท่านจะมรณภาพ และก็ใครล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัทที่จะเชื่อท่าน จะมีที่ไหนบ้างที่จะเชื่อ บอกกันล่วงหน้าตั้ง 3 ปีว่จะตาย คนที่เชื่อก็คงจะมีบ้าง แต่ว่าจะต้องเป็นพวกตาสีตาสา ถ้าเป็นบรรดานักปริญญาทั้งหลาย ไม่มีใครเขาเชื่อ


ทุกท่านก็ให้การรักษาเป็นอย่างดี หมออะไรดีที่ไหน เงินมากเท่าไหร่ราคาเท่าไหร่ ลูกศิษย์ไม่อั้น ขออย่างเดียวแต่เพียงว่าให้อาจารย์ของเขามีชีวิตอยู่เท่านั้น เรื่องนี้ก็เป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพ น่าไหว้น่าบูชาในบรรดาคณะลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นพ่อค้า คหบดี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทุกคนที่เข้าไปในวัดนั้นไม่เคยมีใครแสดงตนว่ามียศชั้นไหน ฐานะชั้นไหน ทำตัวเสม่ำเสมอท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนที่มีจริยาอัธยาศัยน่ารักมาก ไม่ต่างกันกับครูบาอาจารย์ อาตมาขอเปรียบเทียบ ว่าทุกคนลอกแบบจากหลวงพ่อปานกันจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เป็นคนที่น่าเคารพนับถือที่สุด อาตมาเองระหว่างนั้นเป็นพระก็อยากจะไหว้ท่านพวกนั้น ความจริงอยากจะไหว้ท่าน

เมื่อป่วยได้ 2-3 วันเขาก็ดำริกันว่าจะต้องขอให้หลวงพ่อปานไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เพราะหมอหาง่ายยาหาสะดวก บ้านนอกเวลานั้นถ้าจะต้องการยาแพทย์แผนปัจจุบัน ต้องโน่นวิ่งไปกรุงเทพฯ และเรือยนต์ในเวลานั้นก็วิ่งล่อง ๘ ชั่วโมง ขึ้น ๘ ชั่วโมง ใช้เวลามากเหลือเกิน หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ขัด ท่านก็รับปาก

เมื่อท่านรับปากแล้วก็ปรากฏว่า เวลากลางคืนนี่บรรดาท่นพุทธบริษัท เราเป็นพระ ชาวบ้านเขาก็อยู่ดูแลหลวงพ่อในเวลาหัวค่ำ หัวค่ำพวกเราก็อยู่กัน พอตกดึกเขาไปนอนกันหมด เช่นกับเวลาที่อาตมากำลังบันทึกเสียงอยู่นี่ พวกเราเป็นพระก็อยู่ยามกัน อยู่ใกล้ ๆ อาจารย์คอยฟังคำสั่งเพื่อรับใช้ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาการป่วยของท่านคราวนี้มองดูแล้วหนักมาก เพียงแค่ป่วยวันสองวันท่านซีดเซียวลงไปมาก แต่ว่าสิ่งที่น่าสังเกตุเป็นของอัศจรรย์ นั่นก็คือสติสัมปัชัญญะ สติสัมปัชัญญะของท่านไม่ขาด ท่านปกติทุกอย่าง เวลาจะสั่งงานอะไรก็ตาม เพียบพร้อมครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่อ้อแอ้ไม่อุบอิบ ไม่ขาดสาย งานทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า การที่หลวงพ่อปานมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุณธรรมคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านจึงเป็นนักบวชที่ควรแก่การเลื่อมใส ควรแก่การไหว้การบูชา แม้กระทั่งสติปัญญาของท่านในการก่อสร้าง ท่านไม่เคยใช้ช่างมาออกแบบ แบบของท่านเขียนไว้ในสมอง จะเอาแบบไหนท่านนอนคิด จะสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง อาตมาเคยจดตามท่านสั่ง ขื่อยาวเท่านั้น ดังยาวเท่านี้ ไม้จันทันยาวเท่านั้น ไม้อะไรต่ออะไร ท่านสั่งเสร็จ สมัยนั้นใช้เต้า เขาไม่ได้ใช้น็อต เต้าต้องเจาะรู สั่งเต้าห่างจากหัวเสาไปเท่านั้น เต้ายาวแค่นั้น แล้วท่านบอกเสร็จแต่ว่าทรงสวย ไม่ต้องเขียน

ทีนี้เมื่อปลายเดือนกรกฏาคม มีช่างคนหนึ่งมาหาอาตมา ความจริงหลายคน มาถาว่าการสร้างวัดสร้างวานี่เขียนแบบหรือเปล่า แม้แต่พระอุโบสถ อาตมาก็เลยบอกว่าที่นี่ไม่มีแบบ เรื่องการเขียนแบบไม่มี เพราะโบราณไม่เคยเขียนแบบ อาตมาเป็นคนโบราณ แม้ร่างกายจะไม่โบราณเต็มที่ แต่หัวก็โบราณเต็มที ไม่ใช่โบราณเฉย ๆ โบลานไม้โท โบล้าน หัวล้าน อย่าพูดไป เดี๋ยวใครเขาจะได้ยินเข้า เขาจะคิดว่าเอ๊ะ...อาตมานี่หัวล้านนี่ อย่าพูดไป อายชาวบ้านเขา อายหัวล้าน นี่คนหัวล้านหรือหัวโบราณเขาไม่ต้องเขียน ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ถามว่าจะรู้ได้ยังไง ว่าตัวไม้ชิ้นไหนจะยาวขนาดไหน ไม่กี่ชิ้นกี่ท่อน แหมเมื่อฟังแล้วก็ตกใจบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าสถาปนิกสมัยนี้จะโง่ขนาดนี้ การเรียนกันมาเป็นแรมปี ใช้เงินเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ทว่าเวลาจะสร้างต้องชาวบ้านเขามาเขียนแบบให้ เขามาบอกตัวไม้ให้ ถ้าเป็นช่างสมัยโบราณมาก ช่างโบราณนี่เขาไม่ต้องมีใครเขียนแบบให้ จะเอาขนาดไหนจะเอาทรงแบบไหน ไม้ยาวเท่าไหร่ เขากะของเขาถูกหมด และไม่ต้องไปวัดไม่ต้องไปสอน ไม่ต้องลากเส้นดู จะเอาทรงอะไร ขนาดไหน จะทุ้มหรือว่าจะตั้ง จะชูมากจะชูน้อย จะเป็นทรงยักษ์ทรงพระจะเอาขนาดอะไรก็ตาม เรื่องการเขียนแบบไม่มีบรรดาท่านพุทธบริษัท แบบของเขาอยู่ในสมอง เขารู้ความกว้างเขาก็ต้องการอยากจะทราบทรงสูง เรียกว่าทรงพระหรือว่าทรงยักษ์ เมื่อรู้ทรงแล้วเขาจะรู้ไม้ทุกตัว ว่าไม้แต่ละตัวควรจะเล็กควรจะใหญ่ขนาดไหน จะยาวเท่าไหร่ จะสั้นเท่าไหร่

นี่ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะเทียบกันไปล่ะก็ อาตมาตกใจช่างปัจจุบัน ว่าทำไมช่างทั้งหลายที่เรียนกันมาแล้วมากมาย จึงต้องอาศัยแบบกันตะพึดตะพือ ซึ่งมันไม่มีความสำคัญอะไร การกระทำแบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท แม้แต่ช่าวชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่รู้จักแบบไม่รู้จักแผน เขาก็ทำกันได้หมดทุกคน

เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน จะพูดเรื่องหลวงพ่อปานตอนสำคัญ ก็ปรากฏว่เวลา ๓๐ นาทีผ่านไป และเวลานี้เวลาก็ดึกสงัดมากแล้ว เอาไว้ต่อกันตอนใหม่ก็แล้วกัน ถ้ามันมีแรงพูดกันใหม่ เวลาพูดนี่มันไม่แน่นัก ขณะนี้เวลาพูดเป็นวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ และก็ตอนต่อไปนี้จะไปต่อวันไหน ก็ฟังกันไปจะบอกให้ฟัง เวลานี้ขอพักคอนิดหน่อย ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังเพลงเป็นเพลงมอญ แต่ว่าจะตัดตอนไว้เฉพาะไม่ยาวนัก เพื่อไม่ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังเพลงกันคอแห้ง คือว่าเป็นการสกัดกั้น สำหรับคอที่พูดนี้มันต้องกะแหร่มแอมไอเพราะว่า ๒ - ๓ วันนี้ลุกไม่ไหวมันเพลียเต็มที เอาละต่อแต่นี้ไปก็ฟังเพลงก็แล้วกัน เพราะไม่เพราะช่างมัน เป็นการพักชั่วคราว

กลับไปหน้าที่ ๗ปัจฉิมโอวาทCopyright © 2001 by
Amine
10 มิ.ย. 2547