อาลัยหลวงพ่อปาน ..(7)

1 2 3 4 5 6 7 8

พิมพ์โดย พี่สาวคุณสมชาย

ตามพระบาลีก็มีอยู่ว่า ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก คนเลวย่อมมองไม่เห็นความเลวของตัวเอง คิดว่าตัวดีอยู่เสมอ นี่เป็นกฎธรรมดา ถึงแม้แต่หลวงพ่อปานก็เหมือนกัน ที่อาตมาอยู่กับท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยู่ในระยะปลายนี่ ท่านไปสร้างความดีให้แก่ใครที่ไหน ๆ ก็ถูกด่าหนักมาเหมือนกัน พอมาถามท่านว่า ท่านโกรธไหม ท่านกลับหัวเราะ ท่านบอกว่าฉันไม่ได้รับนี่เมื่อฉันไม่ได้รับ เมื่อเขาด่าเขาจะด่าให้ใครก็ช่างเขาประไร เขาด่าตรงมาที่ฉัน ฉันไม่รับมันก็กลับไปหาเขาเอง ท่านพูดแล้วท่านก็หัวเราะชอบใจ แล้วก็เลยสอนต่อไปว่าจงจำไว้ ว่าคำด่า คำนินทาหรือคำสรรเนริญ ไม่มีประโยชน์ เราจะดีจะชั่วมันอยู่ที่ตัวเราทำเท่านั้น ถ้าเราทำดีอยู่แล้วใครเขาจะนินทาว่าชั่ว มันก็เป็นเรื่องของเขา นี่ปฏิปทาส่วนใหญ่ของท่านมีอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทท่านทำใจประเภทนี้ได้ดีจริง ๆ

ทีนี้จะคุยชีวิตเบื้องปลายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงฟัง มันก็ดึกสงัดแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่า หลวงพ่อปานก่อนหน้าอายุ ๖๔ ปี เห็นจะเป็นอายุ ๖๒ , ๖๓ , ๖๔ น่ากลัว ๖๒ หรือ ๖๑ อาตมาจำไม่ได้ คราวนั้นท่านป่วยใหญ่อีกหนึ่งครั้ง ป่วยมากอาการปางตาย ลูกศิษย์ลูกหามีหลวงประธานผ่องวิจัย หลวงพินิจมาตรา นายประยงค์ ตั้งตรงจิต พระยาประเสริฐ พระยาศรยุทธเสนีย์ และพระอะไรอีกเยอะแยะจำหน้าไม่ได้ ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านมากเหลือเกิน รับท่านมาที่บ้านหม้อ บ้านหลวงประธานผ่องวิจัย เห็นว่าเป็นที่สบาย ลับ ๆ ไม่มีเสียงรถรบกวน มาพักการรักษาตัวอยู่ที่นั่น อาการป่วยคราวนี้นั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นที่น่าตกใจมาก แต่ทว่าสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวยังไม่ถึงเวลาตักษัย ฉะนั้นการรักษาให้ของลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย หมอตั้งเยอะแยะรักษากันไปรักษากันมา ในที่สุดท่านก็หาย หายจากโรค เมื่อหายแล้วท่านก็กลับไปที่วัด

เวลายามสงัดท่านก็เรียกบรรดาคณะลูกศิษย์ ที่นิยมในการเจริญพระกรรมฐาน อย่างนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงอย่าคิดว่าท่านอคติ ลำเอียงรักเฉพาะคนที่เจริญพระกรรมฐานนั้นไม่จริง ท่านรักสม่ำเสมอ เราจะเห็นได้จากเวลาแจกของหรือให้รางวัล ท่านไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ให้สม่ำเสมอกันหมด เรื่องลาภสักการะที่จะพึงเกิดมีในวัด โดยกิจนิมนต์ของบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านแจกสม่ำเสมอกัน แต่ว่าท่านเรียกไปเฉพาะนักเจริญกรรมฐาน ที่มีความมั่นใจว่าเอาจริง ก็เพราะว่าบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้มีจิตเข้าถึงพระธรรมแล้ว ทราบใจความพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ท่านจึงกระซิบบอกว่า ลูกรักทั้งหลาย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อีก ๓ ปี พ่อก็ตายแน่ พ่ออยู่ไม่ได้แล้ว ต่อไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะต่อชีวิตให้ทรงต่อไปได้เพื่อประโยชน์ของโลก แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะว่าร่างกายของพ่อนี่ทรุดโทรมมาก อีก ๓ ปีมันก็จะเดินไม่ไหว การอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ พ่ออยู่เพื่อทำประโยชน์เท่านั้น คือว่าเป็นการสงเคราะห์บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่มีจิตเป็นกุศล

การสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ ปีละ ๓ แห่ง ๔ แห่ง นี่ พ่อไม่ได้ทำเพื่อตนนะลูก พ่อทำเพื่อประชาชนผู้มีความดี เพราะว่าการสร้างวิหารทานนี้อย่างน้อยที่สุด อย่างเลวที่สุดที่บุคคลทั้งหลายบำเพ็ญมาด้วยดี มีศรัธาแท้สละจตุปัจจัย อย่างเลวเขาก็จะไปนั่งแสวงหาความสุขได้ที่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสำคัญ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ ท่านก็ยกตัวอย่างมาท่านมาฆมาณพบ้าง ท่านนันทิยมาณพบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

ในสมัยที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมครูมีชีวิตอยู่ ท่านนันทิยมาณพสร้างศาลา ๔ หน้าถวายพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นศาลาพักนั่งเล่น ยังไม่ทันจะตายพระโมคคัลลาน์ก็ไปพบวิมานบนสวรรค์ บรรดานางฟ้าซึ่งเป็นบริษัทของท่านกำลังคอยอยู่ จึงสั่งสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู บอกให้นันทิยมาณพ รีบ ๆ ตายไปอยู่บนสวรรค์ดีกว่า

นี่หลวงพ่อปานท่านพูดตรงกับบาลี ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส นี่การกระทำอย่างนั้นท่านบอกว่าท่านโปรดพุทธบริษัท เขาจะได้บุญกันหลาย ๆ คน ถ้าสร้างแห่งเดียวคนที่อยู่ไกลก็ไม่สามารถจะทำบุญได้

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย น้ำใจของหลวงพ่อปานเป็นอย่างนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นน้ำก็เป็นน้ำในมหาสมุทร คือเป็นกระแสน้ำใหญ่ที่คนทังหลายตักกินแบบสบาย ไม่ใช่เฉพาะคนที่อยู่ใกล้ เมื่อท่านบอกแล้วท่านก็ไปพูดกับหลวงพ่อวัดบ้านแพน คือท่านพระครูรัตนาภิรมย์ พระคู่หูของท่าน บอกว่านับแต่นี้ไปอีก ๓ ปีท่านจะตาย และในระยะหลังนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านก็เปิดหมด และการสอนการเจริญสมถะวิปัสสนา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ท่านเน้นหนักไปในเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอย่างมาก

ถ้าเราจะดูแนวกันแล้วก็เหมือนกับสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระชนม์อยู่ ในสมัยนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูรับอาราธนาจากมารที่ปาวาลเจดีย์ พระองค์จึงได้ปลงอายุสังขารตั้งใจไว้ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คือวันนั้นเป็นวันกลางเดือน ๓ อีก ๓ เดือน ๖ คือกลางเดือน เราจะนิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่แห่งเมืองกุสินารา

และหลังจากนั้นมาตามประวัติ องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ก็สอนเฉพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการเร่งรัดพุทธบริษัทให้ปฏิบัติความดีเข้าถึงโมกขธรรม นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า จริยาของหลวงพ่อปานคล้ายคลึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเมื่อเวลากาลผ่านไปถึงปีที่สามขอตัดลัด

กลับไปหน้าที่ ๖อ่านหน้าที่ ๘Copyright © 2001 by
Amine
10 มิ.ย. 2547