อาลัยหลวงพ่อปาน ..(5)

1 2 3 4 5 6 7 8

พิมพ์โดย คุณสมชาย

พอรุ่งเช้าบรรดาคณะศิษยานุศิษย์เขาก็ตกลงใจเอาไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ คราวนี้รักษาตัวยังไงก็ไม่ดีขึ้นมา ถึงเวลาใกล้อวสานท่านก็เลยประกาศกับบรรดาลูกหลานทั้งหมดในกรุงเทพฯ บอกว่าพ่อต้องกลับวัด เพราะทำความผิดไว้ พ่อต้องมาบวงสรวงก่อน เขาก็นำท่านมาส่ง พอนำมาส่งแล้ว พอมาถึงวัดก็ปรากฏว่า ทั้งคนทั้งพระเต็มวัดไปหมด พระยอมขาดพรรษากันมากมาย ทั้งนี้ก็เพราะมีความจงรักภักดีต่อหลวงพ่อปาน

พอมาถึงวัดได้สามวัน ท่านก็ตั้งเครื่องบวงสรวง วันนั้นท่านประกาศบอกว่าใครจะพูดอะไรกับท่านก็พูด เวลาหกโมงเย็นตรงท่านจะลา ธุระอะไรบรรดาบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าใครเขาจะมีธุระ เพราะเขามีความเคารพ แต่มีคนบางคนเท่านั้น วิ่งเข้าไปจะให้ท่านเสกยาบ้าง เสกมนต์บ้าง ดูเถอะบรรดาพุทธบริษัท พระจะตายอยู่แล้ว แทนที่จะให้สงบสงัดยังจะใช้กันอีก นี่อาตมาไม่ใช่ตำหนิ แต่ว่าสงสาร เกรงว่าท่านจะไปนรก

เมื่อเวลาบวงสรวงเสร็จหลังจากเวลาเที่ยงวัน ท่านก็สงบกายสงบใจ บรรดาพระเณรทั้งหลายก็เข้าไปจับชีพจรเท้าซ้าย เท้าขวามือขวามือซ้าย เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น อาตมาก็เข้าประจำจับชีพจรมือขวา เจ้าลิงเล็กมือซ้าย เจ้าลิงขาวขาซ้าย ผู้ใหญ่ยงขาซ้าย ท่านพระครูอุดมสมาจารนั่งเข้าสมาบัติอยู่เบื้องปลายเท้า เวลาใกล้เข้าใกล้เข้าไปจะถึง ๖ โมง ท่านลืมตาขึ้นมาถามว่า ใคร ก็ตอบว่า กระผมลิงดำขอรับ บอก อ้อ...ลิงดำหรือลูก ถ้าพ่อตายละก็ช่วยไปสร้างโบสถ์ที่วัดเสาธงทองให้เสร็จด้วยนะ จึงได้กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเขามาขอร้องนะขอรับ เพราะผมเป็นเด็ก ถ้าเขาไม่มาขอร้อง ผมไปก็จะกลายเป็นปรารถนาในลาภไป ท่านก็พยักหน้าบอกว่าถูกแล้ว ก็เป็นอันว่าจบเกม ท่านก็หลับตาลงไป

และพอต่อไปไม่ช้านานเท่าใด เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะ ๖ โมง ท่านก็ลืมตาขึ้นมา ถามว่าเวลาเท่าไร บอกว่าเวลาประมาณอีก ๑ นาทีหรือไม่ถึงขอรับจะ ๖ โมง แล้วท่านก็บอกว่า พ่อลานะลูกรัก บอกทุกคนบอกรพะสงฆ์ บอกฆราวาส บอกว่าพ่อลาแล้ว ขอทุกคนมีความสุข ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอให้ทุกคนจงบรรลุธรรมนั้นเถิด แต่คนที่ไม่ต้องห่วงก็คือ ท่านพระครูรัตนาภิรมย์ กับ ท่านพระครูอุดมสมาจาร และพระอาจารย์เล็ก ทั้งสามองค์นี่ไม่ต้องไปบอกท่านนะลูกนะ เพราะว่าท่านเป็นพระอริยเจ้ากันแล้วทั้งนั้น ตกใจบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอยู่กันมาเท่าไร ๆ ท่านไม่บอก มาบอกเอาเวลานาทีจะตาย

พอสั่งเสร็จท่านลืมตาปุ๊ปหลับตาลงไปลืมตามาอีกที ปรากฏว่าชีพจรในจุดทั้ง ๔ คือมือทั้งสองหยุดพร้อมกัน ท่านพระครูอุดมสมาจารก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า หลวงพ่อไปดีแล้ว เหลือแต่พวกเราเท่านั้น

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เกมนี้ควรจะจบกันแล้วหรือยัง เอาไว้ส่งท้ายอีกสักหน่อยนะ ประเดี๋ยวทางพวกดนตรีเขาจะเป่าปี่เพลงโศกให้ฟังละมั้ง เขาบอกว่าโหยหวนเพราะอาการอย่างนี้มันน่าจะเป็นเรื่องของความโศกเศร้าสลดใจก็ตามใจเขาก็แล้วกัน อาตมาไม่ได้สลดด้วยเพราะสลดมานานแล้ว ความจริงร้องไห้ในใจมานานแสนนานแล้ว
ตอนที่หนึ่งในความเป็นมาของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคได้จบลงไปแล้ว แต่เพื่อโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทกำลังรับฟังเสียงเล่าความเป็นมาของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ทางคณะดนตรีเขาก็บอกว่าอยากจะสลับคั่น เพื่อเป็นการป้องกันความรำคาญของบรรดาท่านพุทธบริษัท และก็เรื่องของคนที่ตายไปแล้ว เพราะเวลานี้เป็นเวลาครบรอบร้อยปีเกิดของหลวงพ่อปาน แล้วก็ครบรอบเวลาตายของหลวงพ่อปานเสียด้วย

คืออาตมาเองก็ไม่ทราบว่าท่านเกิดวันไหนเดือนไหนกันแน่ มาเดา ๆ กันว่าเวลาเดือน ๘ แรม ๑๔ ค่ำทุกปี ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่เท่านเคยเสียสละทรัพย์สินของท่าน มาให้พระจับสลาก ทรัพย์สินที่มีอยู่บ้างเท่าไหร่นำออกมาหมด เอาไว้ใช้ตามสมควร เป็นการเสียสละทุกปี และถึงเวลาที่ท่านมรณภาพก็มาตายเอาวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเกิดของท่าน จะตรงหรือไม่ตรงนี้อาตมาไม่ทราบ เพราะว่าลืมถามท่านไป

เป็นอันว่าเรื่องนี้ถ้าพลาดพลั้งยังไงล่ะก็ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทให้อภัยด้วย อาตมาเองก็ไม่ได้ประกาศว่าเป็นสัพพัญญูรู้อะไรไปทั้งหมด ความจริงก็รู้หมดไม่ได้ ไปเห็นรูปหลวงพ่อปานเขาไว้หนวดเข้าให้แล้วก็หลังโกง ภาพนี้ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาจนกระทั่งท่านตายไป ไม่เคยเห็นเลยบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่เคยเห็นหนวดหลวงพ่อปาน ไม่เคยเห็นหลวงพ่อปานนั่งงอหลัง นี่เป็นอันว่าอาตมานี่ไม่ใช่สัพพัญญูแน่ เพราะไม่สมารถจะรู้ภาพนี้ได้ คุยกันต่อไปดีกว่า

ตอนนี้ขอให้นามว่า จริยาวัตรเมื่อเป็นพระนวกะ คำว่านวกะ แปลว่า ใหม่ เป็นพระภิกษุใหม่ การที่ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ใหม่ในพระพุทธศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ใหม่ไปหมดบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเดิมที่อยู่บ้านนุ่งกางเกงใส่เสื้อใส่หมวก พอมาถึงความเป็นพระเข้าก็กลายเป็นนุ่งสบงคล้ายผ้าถุงของผู้หญิง แต่ว่ามีตัดข้างหน้าไม่เย็บประสาน มีผ้าอังสะ ภายในเป็นเสื้อสั้น ๆ สำหรับเป็นผ้าอันซับเหงื่อ ภายนอกมีผ้าผืนใหญ่รุ่งร่าม ๆ ห่ม และอีกอันหนึ่งก็คือสังฆาฏิสำหรับพาด จะดูเลยขึ้นไปถึงศีรษะ ผมเคยยาวก็กลับถูกตัดให้สั้นเกรียนกับเนื้อ และผ้าเสื้อก็เปลี่ยน หัวก็เปลี่ยน มาดูคิ้วเมืองเราเขาโกนคิ้วด้วย แต่ความจริงทางพระวินัยไม่ได้สั่งให้โกนคิ้ว พระพุทธเจ้าเพียงสั่งให้โกนผมกับโกนหนวด แต่คนไทยนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทำทุกอย่างมันก็ไทย ๆ ไปหมด เลยล่อคิ้วกันเข้าไปด้วย

นี่เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันใหม่ไปหมด ผมที่เคยยาวก็ไม่มีผม จะเอาหวีเอานี้มันมาใส่มันก็ไม่ได้ ใหม่ไปซะหมดแล้ว ทีนี้ความเป็นอยู่ก็ใหม่ เคยอยู่บ้านจะบริโภคอาหารเวลาไหนก็ได้ พอบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องจำกัดเวลาไม่เลยเที่ยงวันหลังจากเที่ยงไปแล้วจะฉันได้แต่เฉพาะของที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเท่านั้น นี่ก็มาใหม่เข้าไปอีก ว่ากันถึงเรื่องอาหารบรรดาท่านพุทธบริษัท ใหม่ อีกเหมือนกัน อยู่บ้านเราเลือกอาหารได้ต้องการเปรี้ยวได้เปรี้ยว ต้องการเค็มได้เค็ม ต้อการเย็นได้เย็น ต้องการร้อนได้ร้อน ต้องการอาหารอ่อนอาหารแข็งได้สมความปรารถนา เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเราก็เลือกกันไม่ได้ต้องบริโภคอาหารตามแต่ที่ชาวบ้านจะถึงนำมาให้ด้วยศรัธานี่อันนี้ก็ใหม่อีก ต้องอดใจเข้าไว้

การเป็นพระในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ของง่าย เป็นของยากถ้าเราจะเป็นพระกันจริง ๆ ทีนี้เวลาเราจะฉันอาหารอีก บรรดาพุทธบริษัท จะต้องฉันตามระเบียบวินัย ฉันข้าวไม่ใช่คำโตเกินไป ไม่อ้าปากกว้างเกินไป ไม่ดังซูด ๆ ไม่ดังจั๊บ ๆ ถ้าเป็นยังงี้พระพุทธเจ้าปรับเป็นโทษ แล้วเวลาฉันอาหารก็จะไม่จิกอาหารคือข้าวที่ในจานหรือในบาตร ให้เป็นหลุมลึกลงไป ถ้าทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าปรับเป็นโทษ ต้องปาดให้สม่ำเสมอกัน แล้วเวลาจะฉันอาหารจะพิจารณาว่าไอ้สิ่งนี้มันอร่อย ไอ้สิ่งนั้นมันอร่อย เราต้องการสิ่งนั้น เราต้องการสิ่งนี้ ถ้าหากว่ามีจิตคิดอย่างนี้ ลงนรกไปเลยพระ พระท่านชอบลงนรก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ก่อนจะฉันอาหารองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา คิดว่าอาหารที่เราได้มาทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากความสกปรก พืชพันธุ์ธัญญาหากทั้งหมดมีปุ๋ยสกปรก สัตว์ทุกประเภทสกปรกทั้งหมด มีกลิ่นมีคาว มีเลือด มีน้ำเหลืองน้ำหนอง มีอุจจาระปัสสาวะ ในเมื่อเขามีปรุงเป็นอาหาร เรากินเข้าไปเราก็กินของสกปรก เมื่อพบของสกปรกแล้วทำยังไง เราก็ต้องพิจารณาว่าร่างกายของเราทั้งหมดมันก็เลยสกปรก ทั้งนี้อะไร เพราะว่าเรากินของสกปรกเข้าไป มันไปสร้างเลือดสร้างเนื้อให้แก่กาย ร่างกายเกิดมาจากความสกปรก แล้วมันจะสะอาดที่ไหน


การบริโภคอาหารของพระต้องไม่ถือว่าการกินนี้ เรากินเพื่อความอ้วนพี กินเพื่อความผ่องใส กินเพื่อยั่วกิเลสให้เกิดขึ้น นี่มันก็ใหม่อีกละบรรดาท่านพุทธบริษัท ลำบากใจไหมการบวชในพระพุทธศาสนา เราจะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องทอดสาดตาพอสมควรแค่ชั่วแอก ไม่ใช่เสียงดังเกินไป ไม่วิ่งไม่กระโดยโลดเต้น เพราะเป็นกิริยาอย่างเด็ก ไม่เกี้ยวสาว ไม่มองสาวด้วนยอาการปรารถนาในกามคุณ มันใหม่ไปหมดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาจะห่มผ้านุ่งผ้าก็ตาม ต้องพิจารณาว่านี่เราจะนุ่งจะห่มเพียงแค่ปกป้องความหนาวความร้อนความละอายเท่านั้น จิตใจไม่น้อมไปในความสวยสดงดงามเพื่อเป็นการยั่วกิเลส ถ้าคิดอย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงแนะนำบอกว่าเชิญลงนรกตามสบาย

นี่เป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และอีกประการหนึ่งความปรารถนาในความร่ำรวยจงอย่ามีแก่พระ เวลาที่ชาวบ้านเขาจะถวายจตุปัจจัยเขาบอกว่าเอาไปใช้สมควรกับสมณบริโภค ทีนี้เวลารับเงินรับทองของชาวบ้านเขามา นี่อาตมาบอกตรง ๆ ว่าอาตมารับ อาตมาหรือคณะอาตมาทั้งหมดยองหน้าด้าน แต่ไม่ยอมใจด้าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าแม้แต่หลวงพ่อปานท่านก็บอกยังงั้นเหมือนกัน บอกว่าพวกเรานี่ยอมหน้าด้านก็แล้วกันนะ แต่จงอย่าทำใจด้าน เขาทำกันยังไง


เนื่องด้วยองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบทบัญญัติไว้ว่า ภิกษุย่อมไม่รับรูปิยะอันเนื่องด้วยเงินและทองด้วยมือของตน ถ้รับมาแล้วปรับเป็นอาบัติ ของเป็นนิสสัคคีย์คือใช้ไม่ได้ให้โยนทิ้งไป ตัวเองเป็นอาบัติปาจิตีย์คือจิตเป็นบาปปรับเป็นโทษ แต่ทว่าพระวินัยข้อนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดไว้เนกรณีพิเศษ ทรงตรัสไว้ว่าหยิบรับเงินเองก็ดี ให้คนอื่นับแทนก็ดี หรือว่าให้คนอื่นเก็บไว้เพื่อตนก็ดี ตนรู้อยู่ว่าเงินของเราอยู่ที่เขา ปรับอาบัติเสมอกันคือ ของเป็นนิสสัคคีย์ ตัวเป็นอาบัติปาจิตตีย์จิตเป็นบาปเท่ากัน ไม่ลดหย่อนลงไป มาเวลานี้กาลสมัยไม่อำนวย บรรดาท่านพุทธบริษัท จะไปทางไหนก็ตามไม่มีใครเขาให้ ให้ข้าวให้น้ำตามปกติเขาไม่ค่อยจะให้กัน เดินทางไปหิว เข้าไปในร้านอาหาร เขาเก็บสตังค์ ขึ้นรถขึ้นเรือเขาก็เก็บสตังค์ ผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีใช้ ไปหาที่เขา เขาก็เอาสตังค์ การงานจะเกิดขึ้นในคณะสงฆ์สร้างวัดสร้างวา ซ่อมโบสถ์วิหารการเปรียญ เขาก็เอาสตังค์ ป่วยไข้ไม่สบายยารักษาโรคเราไม่ไปโรงพยาบาลอยู่ไกล แวะไปร้านหมอร้านหมอที่ไหนเขาก็เอาสตังค์ดีไม่ดีหาหมอที่เป็นปริญญาไม่ได้ ก็ไปหาหมอตี๋ หมอตี๋ก็เอาสตังค์ แล้วทำกันยังไงท่านบรรดาพุทธบริษัท เราจะไม่หยิบเงินไม่หยิบทองอยู่ได้ไหม ก็อยู่ไม่ได้ เราก็หยิบ ทำเอาหน้าด้านดีกว่าใจด้าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะต่อหน้าคนเราทำ เรารับเงินกันต่อหน้าคน แต่เวลาลับหลังคนเราเก็บ ดีกว่าต่อหน้าคนทำตนเป็นคนเคร่งครัดมัธยัสถ์ไม่ยอมรับเงินรับทอง แต่ว่ามีเงินทองไว้ในปกตครองของตน

ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนลองพิจารณาดู ว่าประเภทนั้นน่ะ หน้าท่านบางแต่ว่าใจด้าน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะใจยังสะสมทรัพย์ แต่ต่อหน้าประชาชนบอกฉันไม่หยิบเงินไม่หยิบทอง ฉันเป็นคนเคร่ง อย่างนี้ท่านเรียกว่าเป็นมะเร็งทางใจ รักษาไม่หาย ตายลงนรก โกหกชาวบ้าน หลวงพ่อปานจึงได้บอกว่า พวกเรายอมหน้าด้านแต่ว่าอย่าทำใจด้าน เรื่องเงินเรื่องทองของชาวบ้านที่ถวายมา จงรู้ตัวไว้เสมอว่าเขาถวายเราในสมัยที่เป็นพระ ถ้าเราไม่เป็นพระเขาไม่ให้ ก็ต้องใช้อย่างพระ และท่านแนะนำอีกว่า สำหรับเงินส่วนตัวได้มาปีนี้จงอย่าถึงปีหน้า ถ้ามันเหลือจากความจำเป็นแล้วก็สร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา หรือว่าทำในส่วนสาธารณประโยชน์ให้หมดไป จิตใจจะได้ไม่มัวเมาไม่เกี่ยวข้องในการเงิน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท นี่พระเข้ามาใหม่ทุกสิ่งทุกอย่าง มันใหม่ไปหมด ต่อมาองค์สมเด็จพระบรมสุคตให้ปฏิบัติในจริยาวัตรทุกประการตามพระวินัย พูดกันอย่างย่อ ๆ หลวงพ่อปานท่านทำได้ เว้นไว้แต่เรื่องรับสตังค์ต่อหน้าคนเท่านั้น ท่านรับต่อหน้าคน คนเราถ้าจะโกหกกันบรรดาท่านพุทธบริษัท บอกชาวบ้านเขาก่อนดีไหม ว่าฉันจะโกหกแล้วก็พูดให้ฟัง หรือว่าถ้าเราจะโกหกเขา แล้วก็บอกว่านี่มันเป็นเรื่องจริงนะจำไว้ฉันจะพูดให้ฟัง ถ้าเราโกหกบอกเขาว่าโกหก แล้วต่อมาก็ทราบว่าเร่องราวที่กล่าวไปเป็นเรื่องโกหก กับเรื่องที่เราจะโกหกให้เขาฟัง แต่เราบอกว่านี่เป็นเรื่องจริงทุกอย่าง แต่ชาวบ้านเขาไปรู้ทีหลังว่าโกหก อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท จะให้เขาอภัยคนประเภทไหน จะให้อภัยคนที่บอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่ความจริงเป็นโกหก เรารู้ทีหลังหรือว่าเรารู้ก่อนแล้วว่าเรื่องนี้เขาโกหกเป็นนิทานเล่าให้ฟัง คนสองประเภทนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อยากจะทราบว่าท่านเห็นว่าประเภทไหนดี แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของบรรดาท่านพุทธบริษัท จริยาวัตรที่หลวงพ่อปานที่ปฏิบัติในสมัยที่บวชใหม่ ๆ สมัยนั้นก็มีการท่องหนังสือหนังหาสวดมนต์ ท่องหนังสือเรียนและก็บิณฑบาตปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ ท่านทำครบถ้วนทุกอย่าง แล้วก็ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ละเมิดกฎบัญญติใด ๆ ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ คำแนะนำตักเตือนใด ๆ ที่ครูบาอาจารย์สอน ปฏิบัติตามทุกอย่าง งานหลวงไม่ขาดงานราษฎร์ไม่เสีย ราษฎรนะไม่ใช่ราด

งานหลวงก็คือว่าการทำวัตรการสวดมนต์ แล้วก็การก่อสร้าง ทำความสะอาดวัดวาอาราม ปฏิบัติครูบาอาจารย์ ท่านไม่ขาด นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาที่จะพึงปฏิบัติตาม การแสดงอาการนอบน้อมต่อท่านผู้มีอาวุโส ท่านดีมากบรรดาท่านพุทธบริษัท พระที่มีอาวุโสกว่าท่าน ท่านถวายความเคารพอย่างนอบน้อม บางคนก็มาอย่างในฐานะศิษย์ของท่าน มาขอเรียนวิชาการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ไม่ขัดต่อพระพุทธศาสนา แต่ว่าท่านผู้นั้นแก่พรรษากว่า ท่านก็แสดงอาการนอบน้อม อันนี้น่ากลัวจะคิดไว้ และยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความประพฤติไม่ต้องห่วง เรื่องความประพฤติของท่านนี่ไม่บกพร่อง และก็ไม่หลอกลวงชาวบ้าน ไม่เมาใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข น่ากลัวจะไม่เหมือนอาตมา อาตมานี่เป็นคนนอกลูกนอกครูไปเสียแล้ว ที่ใครไม่ปฏิบัติคือฝ่าฝืนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว อดพูดให้ชาวบ้านฟังไม่ได้ ความจริงที่พูดให้ฟังไม่ใช่ประสงค์ร้าย มีความประสงค์อย่างเดียว คืออยากจะให้ศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาคงอยู่

กลับไปหน้าที่ ๔อ่านหน้าที่ ๖Copyright © 2001 by
Amine
19 พ.ค. 2547